คิมนัมจุน

การเติบโตของ RM / คิมนัมจุน ในฐานะศิลปินและคนธรรมดาคนหนึ่ง

รวมคำแปลบทสัมภาษณ์อัลบั้ม Indigo จากนิตยสาร Vogue, NME, The Atlantic และรีวิวจาก Rollingstone

“ตอนนี้ผมอายุ 29 ปีเกาหลี ผมอยากแบ่งปันอัลบั้มแรกของผมอย่างเป็นทางการก่อนผมอายุ 30”

ในผลงานเดี่ยวอัลบั้มเดบิวต์ Indigo ศิลปินนาม คิมนัมจุน กลับมาจับปากกาอีกครั้งโดยไม่จำกัดตัวเองไว้กับพันธะใดนอกจากการเป็นตัวเอง

ประสบการณ์ของ RM ในการสร้างสรรค์ผลงานนั้นไม่เหมือนใคร เพราะเขาประสบความสำเร็จเป็นศิลปินชื่อดังระดับสากลตั้งแต่วัย 20 ในตำแหน่งหัวหน้าวงบอยแบนด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ในผลงานชิ้นใหม่ของเขาที่มีชื่ออัลบั้มว่า Indigo กลับสะท้อนความรู้สึกแปลกแยก ความโดดเดี่ยว ความโหยหา และความเสียดายที่เขามี ดังเช่นในเพลง Still Life และ Lonely เขาเคยเผยโลกส่วนตัวแก่ผู้ฟังมาบ้างแล้วในผลงานก่อน ๆ แต่ RM ถือว่าผลงานเดบิวต์ชิ้นนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเขาเป็นพิเศษ

“ตอนผมทำมิกซ์เทป ผมมัวแต่ยืนกรานในความคิดและรสนิยมของตัวเอง จนไม่เหลือพื้นที่ให้ผู้ฟังทำความเข้าใจได้อย่างเพียงพอ อัลบั้ม Indigo เองก็ยังสืบเสาะถึงอารมณ์และสิ่งที่ผมเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของผม แต่สิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในอัลบั้มเปิดกว้างมากยิ่งขึ้นในแง่ที่ผู้คนเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายดาย”

Indigo เป็นเสมือนการพรรณนาโลกส่วนตัวของ RM ออกมาเป็นภาพเหมือนบุคคลที่มีเสียงและสุดเหวี่ยง เป็นผลงานของศิลปินที่ค้นพบสุ้มเสียงของตัวเองด้วยการนำอิทธิพลต่าง ๆ ที่สะท้อนจิตวิญญาณของเขามารวมเข้าด้วยกัน การแบ่งปันเรื่องราวเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแตกแขนงเสียงออกไปให้แต่ละเพลงสอดคล้องกับสารที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเพลง 

RM ผู้ช่ำชองในการผสมผสานการแร็ปและแนวเพลงป็อป ผลักดันให้ตัวเองได้สืบเสาะสไตล์อื่น ๆ บ้าง “ปกติแล้วเวลาเริ่มทำเพลง ผมมีคอนเซ็ปต์หรือแนวเพลงที่เฉพาะเจาะจงอยู่ในใจ แต่คราวนี้ ผมให้ความสำคัญกับแต่ละเพลงแทน ผมพิจารณาว่าสิ่งไหนเข้ากับแต่เพลงที่สุด และจะรวมแต่เพลงลงไปในหนึ่งอัลบั้มได้อย่างไร ผลลัพธ์ที่ได้คือ อัลบั้มนี้กลายเป็นคอลเล็กชันเพลงผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุด สะท้อนความคิดและประสบการณ์ของผม แฟน ๆ ที่ติดตามมานานอาจรู้สึกว่าอัลบั้มนี้ค่อนข้างแปลกใหม่และเหนือความคาดหมาย อย่างแรกคือ 8 จาก 10 เพลงมีศิลปินร่วมฟีตเจอร์ริ่ง อย่างที่สองคือ ทั้ง 10 เพลงมีแนวเพลงเป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นแค่ป็อปหรือฮิปฮอป ผมให้ความสำคัญกับการลิ้มลองซาวด์ใหม่ ๆ ไม่ใช่ว่าเพื่อให้มีแนวเพลงหลากหลายแนวขนาดนี้ในอัลบั้ม ผมอยากทดลองงานเพลงหลาย ๆ ประเภท ไม่ว่าจะเป็นโฟล์ก ร็อก หรือซิตี้ป็อป และประมวลมันออกมาอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นเพียงงานทดลอง”

แก่นสำคัญของอัลบั้มนี้คือผลงานฮิปฮอป แต่ RM อัดฉีดแนวเพลงอื่น ๆ ลงไปอย่างที่กล่าวไว้ ทั้งนีโอ-โซล โฟล์ก R&B อิเล็กโทรนิก และร็อก การฟังเพลงในอัลบั้มนี้จึงเหมือนได้เห็นคน ๆ หนึ่งสลักชื่อของตัวเองลงบนยอดเขา ไม่ใช่แค่เพื่อบอกว่า ฉันมาถึงที่นี่แล้ว แต่ ฉันเองก็ดีใจที่คุณมาถึงตรงนี้เช่นกัน

 
“จากดอกไม้ไฟที่ลุกโชนสู่ดอกไม้ป่า
จากเยาว์วัยสู่นิรันดร์กาล 
ฉันจะยังคงอยู่ในท้องทุ่งนี้ที่อ้างว้าง
สักวันฉันจะหวนกลับคืน”

— Wild Flower (with youjeen)
 

ในเพลง Wild Flower ซึ่งเป็นเพลงไตเติ้ลของอัลบั้ม RM ใช้เวลาถึง 7 ปีครุ่นคิดถึงคำเปรียบเปรยและความขัดแย้งที่น่าสนใจในตัวมันเอง เขาเล็งเห็นว่า การจุดดอกไม้ไฟ, 불꽃놀이, Firework เป็นการแสดงที่ดึงดูดผู้คนเป็นล้าน ๆ ที่อยากมาชมความสวยงามในระยะเวลาที่แต่ละการแสดงกำหนดขึ้น อย่างไรก็ตาม ความน่าตื่นตาของ การจุดดอกไม้(ป่า), (들)꽃놀이, (Wild) Flowerwork นั้นเรียบง่ายและไม่กระโตกกระตาก “ผมนึกถึงทุ่งที่มีดอกไม้ป่ามากมายที่เราไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแต่ละชนิด เพียงแค่กำดอกไม้และโปรยขึ้นฟ้า มันก็จะร่วงหล่นลงมาทันทีในเวลาสักห้าวินาที ผมอยากดำเนินชีวิตตามแนวคิดของผมเรื่องดอกไม้ป่ามากกว่าดอกไม้ไฟครับ”

“ตอนทำเพลงนี้ ผมนึกถึงคุณยูจีน (Youjeen) วง Cherry Filter และเสียงร้องร็อก ๆ ที่ทรงพลังของเธอทันที ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เธอคือนักร้องเพลงร็อกอันดับหนึ่งในเกาหลี เธอคือเบอร์หนึ่งสำหรับผมครับ ผมจึงโทรไปหาเธอและบอกเธอว่าเพลงนี้ต้องเป็นเธอ”

เช่นเดียวกัน RM เกิดความคิดว่าอยากให้ เอรีกาห์ บาดู มาร่วมฟีตเจอร์ริ่งในเพลง Yun หลังจากเริ่มคิดทบทวนว่าใครกันที่จะสามารถนำความเคร่งขรึมและความภูมิฐานมาสู่เพลงที่เขาอุทิศให้กับ ยุนฮยองกึน ศิลปินเกาหลีใต้ผู้ล่วงลับ “ผมต้องการใครสักคนเช่นเธอที่มีอิทธิพลและความเป็นมายิ่งใหญ่ในวงการเพลง เสียงร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกของเธอน่าจะถ่ายทอดสิ่งที่ยุนสื่อสารมาชั่วชีวิตที่ว่า ‘คนเราควรจะมีความเป็นมนุษย์ก่อนที่จะสร้างสรรค์งานศิลป์’ ได้ ถ้าผมเป็นคนร้องถ้อยคำนั้นเองก็คงจะไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ เพราะผมยังเด็กเกินกว่าจะไปสั่งสอนหรือบอกให้ใครพยายามเป็นใครได้ ด้วยเสียงของเอรีกาห์ สิ่งที่ผมต้องการสื่อสารจะน่าเชื่อถือเพราะเธอคือคนที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านชีวิตของตัวเอง มีอาณาจักรของตัวเอง เธอไม่ได้อยู่ในกระแสหรือความไวรัล แต่ทุกคนก็รู้จักและให้ความเคารพในตัวเธอ”

ยุนฮยองกึน ผู้บุกเบิก การเคลื่อนไหวทันแซ็กฮวา (단색화 ภาพวาดสีเอกรงค์) สร้างสรรค์ภาพวาดที่ตายตัวและมีขนาดใหญ่จากการรำพึงถึงวัตถุและรูปทรงทางธรรมชาติ สิ่งที่สืบทอดจากยุนกลายมาเป็นชื่ออัลบั้มและเนื้อหาของอัลบั้มนี้ “สีครามเป็นสีหนึ่งที่ผมโปรดปราน และเป็นสีที่เขาใช้สร้างสรรค์ผลงานช่วงแรก ๆ ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาเผชิญความยากลำบากมากมาย ซึ่งร่วมถึงประสบการณ์เฉียดตายในช่วงสงครามเกาหลี ภาพวาดสีดำสะท้อนถึงความเจ็บปวดสุดขีดและอารมณ์ที่เขารู้สึกยามทุกข์ทรมาน ภาพวาดสีดำชิ้นเอกของเขาจึงมีความซับซ้อนและสง่างาม สำหรับคนที่ทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ผลงานและสิ่งที่เขาสื่อสารให้ความรู้สึกถ่องแท้และก้องกังวานลึกลงไปในใจผมครับ”

แม้ว่ายุนจะถูกจับกุม ทรมาน และกักขังหน่วงเหนี่ยวในเรือนจำเพราะยืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูกต้อง เขาก็คงยังคงรักษาความเชื่อมั่นของตัวเองที่ว่า ‘การใช้ชีวิตอย่างสวยงามคือการอยู่รอดหลังจากเผชิญความทุกข์ทรมานและความยากลำบากถึงขีดสุด’ “ในยุคของเขามีศิลปะ แต่ในขณะเดียวกันผู้คนก็อดอยาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญกับการเลี้ยงปากท้องและความจำเป็นในการอยู่รอด ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาเกิดความคิดสร้างสรรค์ศิลปะขึ้นมาในยุคนั้นท่ามกลางสงคราม การต่อสู้ และการเมืองได้อย่างไร เขาไม่เคยยอมจำนนต่อสิ่งที่เลวทราม ผมจึงเคารพในตัวเขาอย่างยิ่งและอยากจะเป็นตัวแทนเผยแพร่สิ่งที่เขาสื่อสารไปทั่วโลก เพราะชีวิตผมติดหนี้เขาครับ”

RM ผสมผสานความซาบซึ้งต่อศิลปะเกาหลีร่วมสมัยเข้ากับแนวฮิปฮอปอเมริกันยุคทองในทศวรรษ 1990 และแนว R&B โดยยกย่องสิ่งที่จิตรกรอย่างยุนคิดค้น และสร้างสรรค์พื้นที่ทางเสียงให้ตำนานทั้งสองแขนงได้มาบรรจบกัน การผสมผสานที่น่าเร้าใจนี้ทำให้หวนนึกถึงการสั่งสมผลงานก่อนหน้าของ RM ในผลงานของ BTS ที่เขาได้อ้างอิงฮารุกิ มุราคามิและปรัชญาของคาร์ล ยุง สร้างสรรค์จักรวาลที่ทำให้ดื่มด่ำงานเพลงของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย

เมื่อพูดถึงเรื่อง การไม่ระบุชื่อ (Untitled) ในเพลงที่เปรียบเปรยการเคลื่อนที่และการหยุดนิ่งในคำว่า “ภาพนิ่ง (still life)” อย่างเพลง Still Life จะเห็นได้ว่าสามารถพบเห็นคำ ๆ นี้ในหอศิลป์ทั่วโลก Untitled เป็นชื่อที่ไม่มุ่งหมายจะเป็นสิ่งใด ซึ่งเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้ชมตีความผลงานอย่างไรก็ได้ตามที่ตนเห็น ผลงานที่ ‘ไม่ระบุชื่อ’ จึงไม่มีคำตอบที่ผิดและไม่มีบทสรุปตายตัว RM รู้สึกงุนงงในครั้งแรกที่เขาเห็นป้ายผลงานไม่ระบุชื่อ “ผมรู้สึกแบบว่า ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่มีความรับผิดชอบเลย แค่วาด ๆ ไปแล้วก็ ‘ไม่ระบุชื่อ’ เห็นอะไรก็ตามนั้นอย่างนั้นน่ะหรอ? ผมเลยแบบ ‘โอเค ได้!’” ทว่านับตั้งแต่นั้น เขาทั้งเข้าใจและเข้าถึงความตั้งใจของนักสร้างสรรค์ที่ตั้งชื่อผลงานแบบนั้น จนถึงขั้นเอ่ยในเนื้อเพลงว่า “ไม่ต้องตั้งชื่อให้ฉัน เพราะฉันคือผลงานที่ไม่ระบุชื่อ”

“ผมมีชื่อที่แสดงถึงตัวผมมากมาย ส่วนใหญ่ก็เป็น RM หรือไม่ก็ BTS หรือไม่ก็ คิมนัมจุน สำหรับในหมู่เพื่อน ๆ แต่ผมรู้สึกว่าหากมีผลงานที่แสดงถึงตัวผมในวัย 29 ปี ผลงานนั้นควรจะ ‘ไม่ระบุชื่อ’ เพราะผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร ผมยังไม่รู้ว่าตอนนี้ผมอยากทำอะไร ผมแค่ทำอัลบั้มและสิ่งเหล่านี้ก็คือตัวผม ผมแค่กำลังคลำทางไปก็เท่านั้น”

 
“ฉันคือภาพนิ่งที่ยังมีชีวิต
เธอขังฉันไว้ในกรอบไม่ได้หรอก เพราะฉันยังเคลื่อนไหว
ฉันจะพิสูจน์ให้ดูว่าการมีชีวิตมันดีกว่าความตาย
แค่ใช้ชีวิตและมุ่งไปข้างหน้า”

— Still Life (with Anderson. Paak)
 

นับตั้งแต่เขาเดบิวต์เป็นวง BTS มาเกือบ 10 ปี ชีวิตของเขาปรากฏสู่สายตาคนทั่วไปอย่างชัดเจน “ผมมีความรู้สึกเสียดายหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะตลอดวัยยี่สิบของผมเป็นเหมือนการจัดแสดงนิทรรศการ มีรูปและคลิปของผมในอดีตอยู่บนโลกออนไลน์เยอะแยะไปหมด และยังคงอยู่ในมือถือหรือบนแพลตฟอร์มโซเชียลของผู้คน มีหลายความทรงจำที่ผมอยากถูกลืมไป แต่คงเพราะเทคโนโลยีมันล้ำเกินไป เพราะฉะนั้นมันก็คงยังอยู่แบบนั้นที่ไหนสักแห่งตลอดไป บางทีมันทั้งเลวร้ายและน่ากลัว แต่มันก็เป็นชะตาของผม เพราะผมเลือกมาเป็นนักร้องและเป็นสมาชิกของวงบอยแบนด์”

อัลบั้ม Indigo บันทึกการเดินทางท่ามกลางความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงของ RM ซึ่งในช่วงหลังมานี้ การค้นหาทิศทางก็เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเขา ในคลิปวิดีโอ BTS กินเลี้ยง ที่ปล่อยออกมาในช่วง Festa เขาเปิดอกเล่าความรู้สึกหลงทางเพราะไม่รู้ว่าพวกเขา BTS ทั้งเจ็ดคนควรจะไปทางไหนต่อ ซึ่งในคลิปเดียวกันนั้น พวกเขาประกาศอย่างเป็นทางการว่าในอนาคตอันใกล้ จะโฟกัสกับผลงานเดี่ยวของแต่ละเมมเบอร์กันมากขึ้น “ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีมานี้ ผมพยายามรักษาสมดุลระหว่างวงกับตัวเอง แต่มันก็เป็นเรื่องยาก เพราะการเป็น BTS อาศัยระยะเวลา และแรงกายแรงใจอย่างมาก” 

เขาอาจยังไม่รู้แน่ชัดว่าจะอยากเดินไปในทิศทางไหน แต่เขาก็อยากทำอะไรสักอย่างที่ยืนยาวและอมตะ เพื่อสร้างสิ่งที่จะคงอยู่ให้สืบทอดต่อไป “ผมอยากให้แนวคิดนี้มันอยู่ในใจผม ผมอยากจะเพลิดเพลินในทุก ๆ ขณะของชีวิตและบางทีเมื่อถึงจุดหนึ่ง อาจจะตอนที่ผมอายุ 60 หรือ 70 หรือก่อนตาย ผมก็จะได้มีร่องรอยของความอมตะ เหมือนเสื้อผ้าเก่า ๆ หรือเหมือนเวลาเรามองปู่ย่าตายายเรา ผมชื่นชอบแนวคิดนี้แต่ผมก็ยังเด็กเกินไปที่จะมีผลงานแบบนั้นได้ มันจึงยังเป็นความฝันของผมครับ”

ผลงานศิลปะที่ให้แรงบันดาลในการสร้างสรรค์อัลบั้ม Indigo อาจดูจริงจัง แต่อารมณ์ของอัลบั้มนี้กลับยกระดับจิตใจ ผลงานที่ผสมผสานทั้งแนวร็อก ป็อป ฮิปฮอป ฟังก์ ฯลฯ นี้คือรสชาติของสิ่งที่ RM เตรียมไว้ในอนาคต “ผมเริ่มงานขั้นต่อไปสำหรับผลงานเพลงชิ้นใหม่ของผมแล้วครับ ผมสัมผัสได้ว่าผลงานชิ้นนี้จะเป็นอะไรที่แตกต่างออกไป ผมหวังว่าผู้คนจะรู้สึกสบายใจและตรงไปตรงมากับตัวเองเวลาฟังเพลงในอัลบั้ม Indigo หากเพลงในอัลบั้มนี้หรือเพลงไหนก็ตามทำให้ผู้คนได้ทบทวนเกี่ยวกับชีวิตตัวเองสั้น ๆ และมีความสุข ผมก็จะรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งเลยครับ”

 
“เธอคนดี ไม่ต้องหันกลับไปแล้วนะ
ต่อให้ยังมีเรื่องราวนับหมื่นอนันต์รบกวนหัวใจ
หลังพายุมากมายพัดผ่านพ้น
จากนี้คนที่จะปกป้องเธอคือตัวเธอเอง”

— No.2 (with parkjiyoon)


ดังที่เขาได้กล่าวเอาไว้ในเพลง No.2 เพลงสุดท้ายจากอัลบั้มที่ร้องร่วมกับนักร้องนักแสดงสาว พัคจียุน RM บอกว่าจะไม่หันหลังกลับไป เขาจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า สำหรับคนแบบ คิมนัมจุน แล้ว สิ่งเหล่านี้หมายถึง “การเติบโต” และการพยายามเป็น “ผู้ใหญ่ที่ดียิ่งขึ้น เพื่อที่ว่าเขาจะสามารถแบ่งปันความรักและมีอิทธิพลที่ดีต่อผู้คนได้” ในขณะที่ชีวิตและโลกใบนี้แปรเปลี่ยนไปรอบ ๆ ตัวเขาต่อไป เนื้อเพลงท่อนหนึ่งของ RM จากเพลง All Day ได้บ่งบอกแล้วว่าเขาจะเดินหน้าไปอย่างไร “ฉันขุดค้นมันอยู่ทั้งวัน ฉันกำลังค้นหาตัวตนที่แท้จริงของฉัน” นั่นเอง


อ่านคำแปลเพลงจากอัลบั้ม Indigo โดย RM:
Indigo — สีนัมเงิน ทั้ง 10 เฉดของผู้ชายชื่อ คิมนัมจุน


ที่มา | Vogue, NME, The Atlantic, Rollingstone
แปลและเรียบเรียงจากอังกฤษเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

DMCA.com Protection Status

ทาง CANDYCLOVER มีความยินดีหากผู้อ่านเล็งเห็นประโยชน์ของคอนเทนต์นี้ และต้องการนำไปประกอบเอกสารหรือสื่อทางการศึกษา เผยแพร่ต่อบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงนำไปผลิตของที่ระลึก เช่น Giveaway สำหรับแจกฟรี มิใช่การจัดจำหน่าย

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง กรุณาติดต่อทางอีเมลล์ bts.candyclover@gmail.com และรอการตอบกลับที่ระบุว่าอนุญาตแล้วเท่านั้น ยกเว้นกรณีการนำข้อมูลที่ “แปล เรียบเรียง หรือจัดทำโดย CANDYCLOVER” ไปรีโพสต์ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ รีโพสต์บนแฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด ที่มิใช่แพลตฟอร์มของ CANDYCLOVER พร้อมใส่เครดิตเองโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงนำไปเป็นคอนเทนต์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่เข้าข่ายแอบอ้างผลงาน หากพบเห็นจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

หากท่านชื่นชอบคอนเทนต์ที่ CANDYCLOVER นำเสนอ สามารถให้การสนับสนุนพวกเราได้ง่าย ๆ เพียง 1.) ไม่สนับสนุนแอคเคาต์ที่แอบอ้างข้อมูลที่แปลโดย CANDYCLOVER 2.) รีพอร์ตแอคเคาต์ดังกล่าวผ่านระบบของแพลตฟอร์มที่ท่านพบเห็นโพสต์ที่เข้าข่าย โดยเลือกหัวข้อ “ละเมิดลิขสิทธิ์” 3.) สนับสนุนค่ากาแฟทาง Ko-fi หรือ Patreon

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!