ธรรมชาติปรุงสิ่งใดลงไปในเสียงและหัวใจของ Jung Kook?

ยกระดับขับร้อง;  สดับเสียง Jung Kook | Listening to Jung Kook; The Vocalist keeps improving —แปลบทความโดย Randy Suh, weverse magazine

Jung Kook แห่งวง BTS เผยงานเพลงร่วม Charlie Puth  ซึ่งถูกปล่อยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน  ความสามารถรอบด้านของเขาเข้าได้สบายๆในเพลง “Left and Right”  บทเพลงเผยกิมมิคการฟังทางซ้ายและขวา โดยส่งเสียงมาจากตรงนี้และตรงนั้น  Jung Kook จับไวบ์ที่ Charlie Puth วางให้ในท่อนแรก เอามาขยายใส่ไดนามิกเพิ่ม  โทนเสียงของ Jung Kook มีความสุกใสกว่าคู่อยู่เล็กน้อย  ในขณะที่ Charlie Puth ใช้ลูกคอ(Vibrato)กับ Auto-Tune กลิ่น Post Malone  สมาชิกวง BTS ก็เลือกใช้เทคนิค Vocal fry ท่อนของตน(ตรงที่เสียงแหบกราก)เพิ่มหักมุมอย่างมีสไตล์และสนุกสนาน  ตัวเพลงใช้เวลาไม่นานน้อยกว่าสามนาที  แต่เขากลับทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ได้เอาไว้ด้วย  ในวัย 24 ณ ช่วงเวลาเพียง 10 ปี  Jung Kook ได้สร้างสไตล์ขับร้องทั้งหมดของเขาขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

พวกเขาเลือก Jung Kook วัย 15 ปี

ย้อนกลับไปปี 2013 ยามที่วง BTS เดบิวต์  Jung Kook คือนักร้องหลักซึ่งหาตัวจับยากพอควรสำหรับวงไอดอล  ตลอดทศวรรษที่ 2000 ตำแหน่งนักร้องหลักรุ่นที่สองของไอดอลเกาหลี มักถูกครอบครองโดยนักร้อง”ทรงพลัง” ผู้สามารถฝ่าฟันโน๊ตเสียงสูงทุกขั้น อย่างสะดวกสบาย  ทัศนียภาพวงการไอดอลถูกครอบงำเสียแล้ว ด้วยเพลงป็อบที่รับอิทธิพลจาก Hip Hop/R&B และ EDM ขณะนั้น  จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังมีแนวคิดหลงเหลืออยู่ทั่วไปว่า นักร้องที่มีทักษะแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถร้องบนช่องเสียงสูงๆได้  ฉะนั้นหากคุณจะเป็นไอดอลผู้ถูกมองว่ามีทักษะ คุณจำต้องปรี๊ดปรอทแตกแบบจริงจัง  แต่เมื่อนักร้องนำอย่าง TAEYANG วง BIGBANG และ Jay Park วง 2PM เริ่มปรากฎขึ้นในปลายทศวรรษ พร้อมโทนเสียงที่ใกล้เคียงกับ R&B แบบอเมริกันช่วงนั้น รสนิยมใหม่ก็ได้เริ่มขยายฐาน ยุคสมัยได้ให้กำเนิดนักร้อง R&B ใต้ดินมากมาย  ความนิยมในดนตรีฮิปฮอปเติบโตไต่ระดับอย่างรวดเร็วในเกาหลีใต้ เมื่อเข้าปีทศวรรษ 2010  นักร้อง R&B สาย Alternative ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ หรือพบว่ามีชื่อเสียงเป็นครั้งแรกหลังร่วมงานกับแรปเปอร์หรือโปรดิวเซอร์ชื่อดัง  เริ่มจากผู้ฟังอายุน้อย การรับรู้ได้ค่อยๆเติบโตขึ้น นักร้องที่ทราบวิธีถ่ายทอดเสียงอันเป็นเอกเฉพาะของตน ด้วยจังหวะจะโคนมากกว่าอารมณ์ที่เอ่อล้นและเกรียวกราว เช่น Junggigo, Zion.T และ Crush คือสิ่งใหม่ เท่ และนำสมัย  พอวง BTS เดบิวต์ในฐานะฮิปฮอปไอดอลปี 2013  พวกเขาเลือก Jung Kook วัย 15 ปี  ผู้มีสัมผัสจังหวะตามธรรมชาติและเสียงโปร่งใสให้เป็นนักร้องนำ  มากกว่าใครที่อาจแผดเสียงใส่เพลงของพวกเขาแทน  ธรรมชาติเสียงร้องของเขาทำให้เพลงของ BTS มีความสดใหม่และผ่อนคลายกว่า และถูกจับแยกจากความเข้าใจของ K-pop ทั่วไปในเวลานั้น—โดยถูกเรียกกันว่า Ppongkki  แนวทางที่วงและ Big Hit เลือกใช้ในเวลานั้น อาจหาฟังได้จากเพลงแบบ “Like” ใน EP เดบิวต์ของพวกเขา 

Sense of Rhythm

เรากล่าวอะไรได้มากมายเกี่ยวกับเสียงร้องของ Jung Kook  แต่สัมผัสทางจังหวะดนตรีที่เฉพาะเจาะจงของเขานั้น ไม่อาจเอาอะไรมาเทียบได้ ความเข้าใจในจังหวะของเพลงดูเหมือนถูกปรุงเอาไว้ในร่างกายของเขา ซึ่งพวกเราเห็นได้ในแนวทางที่เขาเต้น และแนวทางที่เขาส่งตัวตนออกมากับเสียงร้อง  ช่วงอินโทรสู่เพลง “Airplane pt.2” อัลบั้ม LOVE YOURSELF: Tear คือตัวอย่างขั้นต้น:  เสียงลั่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเคาะไม้คู่ อันถูกหยิบยืมมาจากดนตรีซัลซ่า เล่นด้วยอัตราจังหวะ 4/4 โดยที่ตามบีทเล็กน้อย  ตบแต่งอารมณ์เพลงอย่างลึกซึ้ง แต่กลับเหมาะจะเต้นตามอย่างไม่อาจทัดทานได้  ในท่อนแรก Jung Kook ปล่อยลมหายใจหลังคำร้อง“เด็กประหลาด” ออกตรงๆ ลงจังหวะเบียดที่สามของบาร์บนจะโคนเครื่องเคาะ  มันง่ายพอสำหรับนักแสดงที่จะข้ามจังหวะนี้ไปในเพลง 4/4 ซึ่งมักมีรูปแบบ หนัก-ผ่อน-กลาง-เบา ตามลำดับ แต่นี่ Jung Kook กลับกระโจนเข้าไปในจังหวะเคาะดั้งเดิมแทน  ด้วยที่เขาควบคุมการร้องของตนได้ดีอย่างชัดแจ้ง ผู้ฟังซึ่งไม่คุ้นเคยใดๆเลยในจังหวะเครื่องเคาะ ก็สามารถตามเสียงร้องของเขาเข้าไป ดื่มดำในบรรยากาศซัลซ่าของเพลงได้สบายๆ

Perfect Pitch

สัมผัสสูงต่ำของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน ยามเขาร้อง A cappella Jung Kook สามารถค้นหาโน๊ตที่ถูกต้องได้ทันทีแทบจะตลอดเวลา  เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่า มีเพียงหนึ่งในพันคนเท่านั้นที่ได้ครอบครอง Perfect pitch  มีเหมือนกันกับผู้คนที่ไม่ได้เกิดมาพร้อม Perfect Pitch แท้ๆ แต่สามารถจดจำเสียงสูงต่ำจำเพาะบทเพลงผ่านการฝึกฝนสม่ำเสมอได้ ในกรณีของ Jung Kook ไม่ว่าปรากฏออกมาเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังก็ดูจะไม่สลักสำคัญ; ไม่มีอย่างไหนที่ดูจะเซอร์ไพรส์ใครสักคน ในชั่วโมงฝึกซ้อมที่เขาสะสมรวมถึงพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่เขาครอบครอง  สัมผัสสูงต่ำของเขาดูมีอิทธิพลต่อการเขียนเพลงด้วยเช่นกัน  กล่าวว่าการเขียน“Still With You”ก่อนบีทถูกใส่เข้ามา เขาตั้งเครื่องจับจังหวะง่ายๆแล้วร้องทำนองทับลงไป  อย่างไรก็ตามเพลงนี้ถูกเขียนบนสเกลเพลงแจ๊ซพร้อมช่วงข้ามอันเร้าใจมากมาย ซึ่งทำให้เป็นการยากแม้ร้องไปพร้อมกับเครื่องดนตรี  ดูราวผลลัพธ์จากความสามารถในการบันดาลคัดสรรโน๊ตดนตรีในหัว และร้องออกมาได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับการกดคีย์ลงบนเครื่องเล่นเปียโน  พิจารณาจากความสามาถอันน่าประทับใจเท่าเทียมกัน กับการร้องซ้ำเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้า ไม่เพียงเป็นไปได้ว่าเขามีสัมผัสสูงต่ำอันเฉียบแหลม แต่คงได้หนึ่งในทักษะการฟังโดยรวมด้วยเช่นกัน  เขาเคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ Weverse Magazine เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา  เขารู้ถึงความสามารถภายใน ทราบว่าตน“สามารถได้ยิน[ลักษณะเสียงต่างๆ]” แต่เขา“ไม่ควร[แค่เลียน]เสียงมันทั้งอย่างนั้น” ทักษะนี้ของเขาสุดท้ายกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งในการศึกษา พร้อมสามารถพัฒนาสไตล์ของตัวเองขึ้นมาได้ 

Top-tier Technique

เทคนิคการร้องของเขา เช่นกัน อยู่ในขั้นสูงสุด  แต่คงจะดีกว่าถ้าเราวิเคราะห์บางสไตล์ที่เขาเคยร้อง และถกถึงเทคนิคแตกต่างบางอย่างที่เขาใช้ ในขณะที่เราไปกันต่อ  บทสัมภาษณ์จากต้นปี 2021 “Jung Kook’s BE-hind ‘Full’ Story” j-hope กล่าวว่าจุดแข็งที่น่าจดจำที่สุดของเสียง Jung Kook คือมันมีความ “ผ่อนคลาย”  มีหลายสิ่งที่เป็นไปได้ว่าสนับสนุนคำกล่าวนี้ ตัวอย่างเช่น โทนเสียงของเขา เทคนิคการร้อง ทางเลือกของบทเพลง และการตีความสิ่งเหล่านั้น(ซึ่งเราจะถกกันอีกที) หากแต่ในทางเทคนิคแล้ว ดูเหมือนเขาสามารถหาสมดุลอันคงช่องเปิดเส้นเสียงเอาไว้ได้ ซึ่งไม่เพียงทำให้เส้นเสียงคงรูปร่างที่เหมาะสม แต่ยังช่วยให้ฟังได้ง่าย เพราะเขาไม่ต้องใส่มากจนเกินไปในการสร้างเสียง (แน่นอน เราอาจพูดถึงตัวเลือกทางศิลป์ที่สร้างอากาศอันล่อแหลม โดยจำกัดการเคลื่อนไหวเส้นเสียง หรือขับร้องให้สะท้อนจากช่องอกแทน(Chest voice) ไม่มีอย่างไหนผิด ต่างกันแค่สไตล์ในการสื่ออารมณ์)  เสียงร้องของ Jung Kook มักมาพร้อมปริมาณลมแทรกเบาๆ ซึ่งเป็นกุญแจในการเปลี่ยนผ่านอันลื่นไหลระหว่างเสียงสะท้อนจากช่องอกและศีรษะ(Chest voice และ Head voice) สิ่งนี้ยังทำให้ผู้ฟังรู้สึกใกล้ชิดทางอารมณ์มากยิ่งขึ้น เพราะเสียงร้องของเขามอบความตรึงใจในการที่ใครบางคนกระซิบข้างหูคุณ  แม้แต่การออกเสียงของเขา ก็ดูจะได้ประโยชน์จากการสังเกตและฝึกซ้อมอันแทบไม่หยุดหย่อน  โค้ชเสียงชาวเกาหลีทั้งหลายจะเน้นย้ำได้ง่ายที่สุดว่าเสียงร้องของ Jung Kook ใกล้เคียงกับนักร้องเพลงป็อบอเมริกัน มากกว่านักร้องเพลงเกาหลีที่เคยมีมาดั้งเดิม  พิจารณาวิธีการเฉพาะที่ Jung Kook  สร้างเสียงบนภาษาอังกฤษและเกาหลี ซึ่งแตกต่างกันตั้งแต่พื้นฐาน  เป็นไปได้ว่า Jung Kook จะทำอย่างนักร้อง R&B สาย Alternative ในเกาหลีช่วงปี 2010s  โดยการฟังเพลงภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องและประยุกต์สไตล์เหล่านั้นให้ฟังแล้วเข้ากับภาษาเกาหลีมากยิ่งขึ้น  คุณลักษณะนิยามเสียงร้องของเขาคือ การที่มันผ่อนคลายสำหรับผู้ฟัง  และนั่นเกิดจากสัมผัสฉับพลันในจังหวะและความสูงต่ำทางเสียง เช่นเดียวกับเทคนิคที่ได้จากการฝึกฝนเรียนรู้  ทั้งหมดนี้นำไปสู่การร้องเพลงสุดประทับใจไม่สั่นคลอน  ในปีที่เก้านับจากเขาเดบิวต์ เขาฝึกตนลักษณะนี้ผ่านการฝึกซ้อมที่ไม่อาจหยั่งวัดและการแสดงที่ไม่อาจนับครั้ง รวมทั้งการเติบโตที่เขาได้ประสบผล ซึ่งต้องเรียกว่า ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

Musicality

พรสวรรค์ที่กล่าวมาถึงขณะนี้เสริมส่งสิ่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า Musicality  ศัพท์นี้เป็นที่คุ้นเคยกันดีจากความนิยมการแข่งเต้นทางทีวี กล่าวสั้นๆว่ามันคือพรสวรรค์ในการสื่อสารด้านดนตรี  ในการเต้นมักกล่าวโดยทั่วไปว่า การแสดงทักษะออกไปแบบธรรมดา ถือว่าไม่เพียงพอ;  คุณต้องสามารถสื่อดนตรีออกไปประหนึ่งว่ารู้สึกจากใจ และจมหายไปกับมัน  อาจกล่าวได้ว่าบางคนซึมซาบ Musicality เมื่อร่างกายและดนตรีปรากฏเคลื่อนไหวกลายเป็นสิ่งเดียวกัน  รูปแบบเดียวกับการร้องเพลง ทุกคนมีกระดาษโน๊ตเหมือนกัน โดยสุดแล้วแต่นักแสดงเป็นผู้กำหนด ว่าจะตีความและแสดงออกสู่ผู้ฟังได้ดีเพียงใด  พอ j-hope เรียกเสียงของ Jung Kook ว่าเสียงที่ผ่อนคลาย ในบทสัมภาษณ์ “BE-hind ‘Full’ Story”  เขาก็ตอบกลับ “ถ้าผมแค่อัดสีสันของตัวเองเข้าไป เพลงก็จะพังทลายลงมาไม่ใช่หรอครับ? …แต่สำหรับผมแล้ว หากมีเพลงหนึ่งอยู่ตรงนั้น  ผมก็แค่วาดความรู้สึกของตัวเองลงไป ราวกับกำลังระบายสี”  คราวใดที่คุณฟังเขากำลังร้องเพลง เราจะได้ยินเสียงเช่นนั้นจริงๆ  ไม่ต้องกล่าวเลยว่าเขาเข้าถึงเสียงเพลงแบบไม่รบเร้า  อย่างไรก็ดี เขากลับสับเปลี่ยนอารมณ์อย่างละเอียดอ่อน ไปตามทิศทางของแต่ละท่อน โดยที่ไม่ทรยศต่อคุณลักษณะพื้นฐานของงานเพลงนั้นๆ

ลองดูที่เขาร้องเพลง “If You” ในรายการ King of Mask Singer  ไม่เพียงเดิมทีเพลงนี้ถูกเขียนเพื่อขับร้องโดยสมาชิกห้าคนวง BIGBANG แต่ยังถูกเขียนให้ท่อนแรกและท่อนสองแยกกันถึงหนึ่ง Octave ถ้วน(หนึ่งช่วงเสียงคู่แปด) เพื่อสร้างความต่างอย่างสิ้นเชิง  Jung Kook เรียบเรียงเพลงใหม่ในการร้องเดี่ยว  ความเร้าอารมณ์จึงไต่ระดับขึ้นไปด้วยความปราณีตสูงสุด แทนที่จะขับให้เข้มขึ้นบนคอรัส เขาร้องต่อด้วยสไตล์ที่นุ่มนวลจากท่อน Bridge(ท่อนแยก/ท่อนเชื่อม) เสริมผัสสะกระเซ้าเข้าไปเพียง Vocal fry และเทคนิคลมหายใจ  มันคือการตีความอันเหมาะเจาะสมบูรณ์แบบ: เริ่มต้นที่เสียงต่อกระซิบผู้ฟัง แล้วนำพวกเขาสู่อีกระดับของการสดับอย่างตั้งอกตั้งใจ 

“My Time” เพลงเดี่ยวจากอัลบั้ม MAP OF THE SOUL: 7 วง BTS ครอบคลุมทักษะทั้งหมดที่เขาได้ขัดเกลามาจนทุกวันนี้  เสียงร้องของเขาย้ำลงไปบนเสียงกีตาร์ที่ซ้ำแบบ Staccato และ Legato บางๆ(การบรรเลงแบบสั้นมีวรรคตอน และ แบบยาวต่อเนื่อง) เสียงสังเคราะห์อันสั่นไหวและบีทดนตรี Trap แบบไม่สม่ำเสมอ  Jung Kook ทำให้มันฟังได้ง่ายดายสุดๆ  เขารู้ว่าเวลาไหนต้องวิ่งแข่งบีท เวลาไหนต้องบีบหรือคลาย และตอนไหนต้องระเบิดออกมา   ทั้งยังทำทั้งหมดในเวลาอันวิจิตรเหมาะเจาะ  มันสะท้อนออกมาในไตเติลของเพลง และทำให้ผู้เขียนรู้สึกถึงอารมณ์อันลึกซึ้งคูณทวี  กระทั่งการที่เขาวางเหลี่ยมมุมบนเสียงร้องตอนเสียดเสียงบดของกีตาร์ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างบนความพินิจพิเคราะห์ทางอารมณ์ รวมถึงความสามารถในการถ่อยทอดอันยอดเยี่ยม

Jung Kook กล่าวเมื่อเร็วๆนี้ว่าเขาเริ่มให้ความสนใจการร้องที่สะท้อนเสียงพูดได้ดีกว่า  จากบทสัมภาษณ์ Weverse Magazine สำหรับอัลบั้ม Proof ซึ่งจะเล่าได้ดีกว่าถึงแนวคิดที่ว่านี้ สืบเนื่องจากความเป็นศิลปินในตัวเขา เทียบกับอดีตที่ Jung Kook ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการสร้างเสียงร้องให้ไพเราะ  ทุกวันนี้เขาฝึกซ้อมด้วยแนวคิดที่ว่าสามารถสร้างเสียงร้องให้ไพเราะได้ แม้ใช้เพียงเสียงตามธรรมชาติ  การเปลี่ยนแปลงนี้ถึงขั้นสังเกตได้จากเสียงร้องของเขาใน “Stay Alive” เพลงที่ SUGA เขียนให้กับ Webtoon เรื่อง 7FATES: CHAKHO  Jung Kook เล่าว่าการอัดเพลงนี้ถือว่ายากมาก เพราะไม่คุ้นกับสไตล์และต้องใช้ความพยายามหลายครั้ง  แต่พอ SUGA ได้ฟังส่วนที่ Jung Kook ส่งให้ ก็กลับรับรองว่าผ่านได้ ในเวลานั้นเลย 

แม้ในขวบปีที่ 10 หลังเดบิวต์

มันเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปในสารคดีของ BTS และบันทึกการทำงานต่างๆ ที่คนทำงานมักประทับใจในตัวเขารวมถึงผลงานที่ได้ ในขณะที่ Jung Kook มักจะพูดว่าเขาอยากพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น มันน่าทึ่งที่ได้เห็นศิลปินกระตือรือร้นจะเติบโตและสร้างการเปลี่ยนแปลงต่อไป แม้ในขวบปีที่ 10 หลังเดบิวต์  เขาน่าประทับใจอยู่แล้วในวัย 15 แต่ก็นับล่วงยามมาถึงที่นี่ในวันนี้ซึ่งยากจะหยั่งระยะได้ในเวลานั้น  BTS ก้าวข้ามช่วงเวลาทั้งหมดนั้นและ Jung Kook สมาชิกวงอายุน้อยที่สุดก็อยู่ตรงนั้น ก้าวข้ามพร้อมกันกับสมาชิกที่เหลือ ชื่อของเขาแนบไปกับสถิตินับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งชาวเอเชียอายุน้อยสุดบนจุดสูงสุดของ Billboard Hot 100  บุคคลอายุน้อยที่สุดที่ได้รับ Hwagwan (มงกุฎดอกไม้) เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณด้านวัฒนธรรม และคนบังเทิงอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในนามทูตพิเศษประธานาธิบดี  ทั้งนี้เขาก็ยังอุทิศตนเสมอมาต่องานหลัก: การร้องและสร้างสรรค์งานเพลง ความรักในดนตรีของ Jung Kook แสดงออกในปรารถนาที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่พึงกล่าวถึงการทำงานในอุตสาหกรรมตั้งแต่ช่วงต้นชีวิต เขาไม่เคยแสดงออกว่าเหนื่อยล้าทางดนตรี  ในฐานะแฟนเพลงที่เฝ้าดูผลงานอย่างมืออาชีพ ผู้เขียนเองก็รู้สึกอัศจรรย์ใจไปกับความซาบซึ้งและพรั่นพรึงในเวลาเดียวกัน

ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจ ที่ใครสักคนยังคงแพสชันได้ขนาดนี้หลังอายุงานนับสิบปี แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าอายุ 24 ปีคือที่ทางของแพสชันดั่งกล่าว และแม้เราจะไม่สามารถคาดเดาอนาคต ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าอย่างไรเสีย เขาคงยังทำต่อไปในสิ่งที่เขาให้ความสำคัญอยู่ตอนนี้  แม้ตอนที่เขาเติบใหญ่  ดนตรีจะยังอยู่ตรงนั้น แล้วอะไรกันที่เราจะไม่รัก กับศิลปินซึ่งแพสชันลุกเป็นไฟ ได้อย่างสว่างสไวโชติช่วง?
.

แปล EN/TH และเรียบเรียงโดย @toei

ที่มา | [Weverse Magazine]Listening to Jung Kook; The Vocalist keeps improving (by Randy Suh)

About the Author /

acupofbts.toei@gmail.com

drinking a cup of hot tea, looking up to the galaxy, you’ll be alright.

Post a Comment