ความจริงใจ

กุญแจสู่ความสำเร็จคือ ความจริงใจ+ความสามารถ ไม่ใช่โซเชียล

“ปีที่รู้สึกว่าการเลือกเป็นนักร้องคือเส้นทางที่ถูกต้อง…ความวิตกกังวลและความเดียวดายคือบทเรียนตลอดชีวิต”

ช่วงอายุ 20 คือวัยที่หิวโหยที่สุดต่อให้กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ตาม เวลา 5 โมงเย็น ที่ BTS กำลังแกะขนมกิน กำลังเอ็นจอยกับการกิน เมมเบอร์ที่ต้องคอยแบ่งเวลาก็มีช่วงเวลาที่โหยหากับข้าวที่บ้านไปพร้อมๆ กับความสำเร็จ

“คนที่มีครอบครัวอยู่ที่โซลแบบจินก็กลับไปกินข้าวที่บ้านสักมื้อแล้วกลับมาได้ ส่วนจองกุกกับจีมินปีนึงก็คงได้กลับไปกินข้าวบ้านอยู่ครั้งสองครั้งเพราะครอบครัวอยู่ที่พูซาน”

เราได้สัมภาษณ์กับ BTS ที่ช่วงนี้เจอตัวได้ยากยิ่งกว่าคนดังคนไหนๆ ที่นนฮยอนดง เขตคังนัม ในกรุงโซล

เมมเบอร์ที่มีงานยุ่งซึ่งปีนี้ก็มีตารางงานเต็มไปแล้ว 1 ปี กระทั่งคำถามง่ายๆ พวกเขาก็ไม่มีการตอบแบบขอไปที “พวกเรานอนประมาณวันละ 6-7 ชั่วโมง มีแต่ JIN กับ V ที่นอนดึกเพราะวุ่นอยู่กับการเล่นเกมส์”

ปีที่ผ่านมา BTS ทำสถิติแรกสุด-สูงสุดบนชาร์ต Billboard อเมริกาจากอัลบั้ม LOVE YOURSELF 承 ‘Her’ กับซิงเกิ้ล MIC Drop เวอร์ชั่น Remix, ทำสถิติยอดขายอัลบั้ม 1.5 ล้านก็อปปี้ และกวาดรางวัลแดซังจากหลายๆ งานประกาศรางวัล ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาในระหว่างที่พวกเขาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้กลายเป็นวงที่เป็น ‘กำแพงที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้’ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่มีความหมายต่อวงการเพลง เหมือน Psy, TVXQ, H.O.T และ Seo Taiji and Boys

1 ชั่วโมงตลอดการสัมภาษณ์ เมมเบอร์เผยความจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ “เป็นช่วงต้นปีที่ได้คิดอะไรมากมาย” พวกเขาเอ่ยคำว่า ‘ความจริงใจ’ ซ้ำไปซ้ำมา ในขณะที่บทสนทนาถูกนำทางไปอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่ความรู้สึกที่หยาดเหงื่อเริ่มผลิดอกออกผล, ความหวาดวิตกและความเดียวดายภายใน และวิธีการเอาชนะสิ่งต่างๆ เหล่านี้

ต่อไปคือช่วงถามตอบกับ BTS

Q: ความ Swag ในเนื้อเพลง ‘MIC Drop’ ดูเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็เห็นดีเห็นงาม พวกคุณใช้เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมาเหมือนกับเนื้อเพลงที่ว่า ‘กระเป๋าเต็มเป๋าไปด้วยถ้วยรางวัล’ จริงๆ

▲ J-HOPE : พอได้ย้อนกลับไปมองแล้วถือว่าเป็นปีที่มีผลความสำเร็จมากมายถึงขั้นที่ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองเลยครับ สาเหตุแห่งผลความสำเร็จนั้นเป็นเพราะแฟนๆ ที่ส่งแรงซัพพอร์ตทรงพลังที่เปี่ยมด้วยแรงสู้ครับ

▲ JUNGKOOK : ผมจำไม่ได้เลยว่าผมมีความรู้สึกตื่นเต้น ไม่ว่าจะตอนงานประกาศรางวัลหรือตอนไปออกรายการ The Ellen DeGeneres Show เป็นเพราะผมเชื่อในแฟนๆ ตอนนั้นคือตอนที่ผมรู้สึกเลยล่ะครับว่า การเลือกทำอาชีพนักร้องคือเส้นทางที่ถูกต้อง

▲ JIN : อืม ปีที่แล้วผมว่าผมหล่อขึ้น แฟนๆ คงเข้าใจครับเพราะผมพูดประโยคนี้มาหลายปีแล้ว ฮ่าๆ เป็นปีที่ได้พูดคุยกับแฟนๆ เยอะมากๆ เลยครับ คอนเทนท์มีความหลากหลายมากขึ้น ได้คุยกับแฟนๆ จากหลายๆ แง่มุม และยังร่วมสร้างความสำเร็จไปด้วยกันกับแฟนๆ ครับ

Q: หลายๆ แวดวงมีการวิเคราะห์ถึงกุญแจสู่ความสำเร็จและมูลค่าทางเศรษฐกิจของ BTS ในแวดวงการเมืองถึงขั้นมีรายงานการศึกษาวิธีการสื่อสาร (ของ BTS) ออกมา ปัจจัยหลายๆ อย่างต้องถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน ทั้งดนตรีที่ประณีต, ถ้อยความที่วัยรุ่นมีส่วนร่วม, การเต้นที่พร้อมเพรียง, การสื่อสารทางโซเชียลที่มีความใกล้ชิด แล้วเมมเบอร์ล่ะคิดว่าพอยท์คือจุดไหน

▲ RM : พวกเราได้รับคำถามนี้มานับครั้งไม่ถ้วน และผมก็คงเป็นตัวแทนตอบคำถามนี้ไป 200 ครั้งแล้ว ระหว่างที่ตอบคำถามนี้ไปคำตอบของผมก็ค่อยๆ ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้น นี่เป็นคำตอบเวอร์ชั่นล่าสุดที่โปรดิวเซอร์บังชีฮยอกชื่นชมด้วยการส่งสายตาที่เฉียบแหลมมาเลยครับ พวกเราเริ่มต้นขึ้นมาเป็นวงฮิปฮอป แต่โปรดิวเซอร์บังคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องมีคนที่ออกมาพูดเรื่องที่จำเป็นต้องพูดในสังคม ซึ่งในความเป็นจริงพวกเราก็เป็นแรพเปอร์ที่ทำให้เรื่องพวกนั้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ และมีเมมเบอร์ที่มีความสามารถด้านการทำการแสดง หากมองถึงคีย์เวิร์ดใหญ่ๆ ของ BTS ผมคิดว่ากุญแจสู่ความสำเร็จก็คือ ความจริงใจ + ความสามารถ ครับ ความจริงใจเป็นสิ่งที่เห็นได้ผ่านสายตาของคนทั่วไป แต่ผู้คนกลับให้ความสนใจแต่การที่เราสื่อสารผ่านโซเชียลเยอะ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ คุณภาพของดนตรีและการแสดงของพวกเราต้องดีเพราะเราคือศิลปิน เมื่อเรามีสิ่งเหล่านั้นแล้ว ถ้อยความและความจริงใจที่เราอยากจะพูดออกมา รวมเข้ากับความถี่ของสิ่งที่เราสื่อสารอย่างต่อเนื่อง โปรดิวเซอร์บังชีฮยอกก็ผลักดันสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดด้วยสายตาที่เฉียบแหลมครับ เขาให้อิสระกับพวกเราและในขณะที่เราแบกความเสี่ยงสูง (High Risk) เอาไว้อย่างดีในฐานะผู้เล่นคนหนึ่ง เราก็สร้างผลตอบแทนที่สูง (High Return) ผมมองว่าการทำธุรกิจร่วมกันในฐานะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของสังกัดกับศิลปินนั้นเป็นแบบจำลองที่ลงตัว การทำงานของบริษัทและพวกเราจึงแบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่งครับ

▲ SUGA : ผมเองก็ทบทวนอยู่หลายครั้งเพราะสงสัยเหมือนกันครับ มันยากที่จะบอกเล่าออกมาด้วยสิ่งๆ หนึ่ง ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ใครๆ ควรทำแต่มันก็เป็นเรื่องที่ยังไม่มีใครเคยทำ ผมว่าผมเริ่มต้นขึ้นมาจากตรงนั้นนี่แหละครับ เมื่อเร็วๆ นี้ในช่วงต้นปีผมกระวนกระวายและได้มองย้อนกลับไปว่า ‘แต่ก่อนฉันทำเพลงยังไง?’ ผมเลยได้รู้ว่าโปรดิวเซอร์บังชีฮยอกก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกเหมือนกัน เขานั่งอยู่ในสตูดิโอเล็กๆ แล้วก็จะบอกกับพวกเราว่า ‘พวกนายอยากเล่าเรื่องอะไร? ลองไปคิดท็อปปิกของบีทนี้ดูสิ’ ในตอนนั้นพวกเราเริ่มต้นมาจากความคิดที่ว่า ‘ต้องเคารพในเรื่องของความชอบ’ กับ ‘ทำไมถึงไม่มีคนที่พูดถึงเรื่องของโรงเรียนกับสังคมเลย’ สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือเวลาที่คนอื่นวิเคราะห์ถึงพวกเรา พวกเขามักมองว่าพวกเราประสบความสำเร็จแค่บนโซเชียล ก่อนหน้านี้ไม่นานอาจารย์คิมแซงมินที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรในงานแฟนมีทติ้งของพวกเราชื่นชมพวกเราทาง Podcast ว่า ‘ใครก็เอาชนะพวกเขา BTS ไม่ได้เพราะนอกจากพวกเขาจะเก่งแล้วเขายังมีกระทั่งความทะเยอทะยาน’ ผมได้ฟังแล้วก็คิดว่า ‘ได้รู้สึกถึงสิ่งที่พวกเราได้ทำลงไปเลยจริงๆ’ ผมรู้สึกทราบซึ้งจริงๆ ที่ใช้เวลาไป 5 ปีกว่าจะมีคนตระหนักถึงจุดนี้

Q: ปีที่ผ่านมาพวกคุณนี่อย่างกับ ‘เครื่องปั่นสถิติ’ สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของพวกคุณเลยก็คือผลความสำเร็จจาก Billboard และยอดขายอัลบั้ม แล้วตัวเลขที่รู้สึกประทับใจล่ะคืออะไร

▲ RM : คือตอนที่เพลง MIC Drop เวอร์ชั่น Remix ขึ้นชาร์ตซิงเกิ้ล Billboard Hot 100 ที่อันดับ 28 เป็นครั้งแรกครับ รู้สึกช็อคจริงๆ ครับกับการที่มีชื่อของพวกเราอยู่บนชาร์ต Hot 100 ที่ติดตามดูมาตั้งแต่เด็กๆ ปกติ Top 40 ของ Hot 100 คือเพลงที่ฮิตทั่วอเมริกา แต่การเข้าสู่ 30 อันอับสูงสุดเป็นอะไรที่อลังการสุดๆ เลยครับ

▲ J-HOPE : ผมทราบซึ้งกับยอดขายอัลบั้มก่อนมากเลยครับ มันรู้สึกประทับใจกับการที่อัลบั้มที่มีเพลงที่พวกเราทำขายได้ในจำนวนตัวเลขที่สูงมาก

▲ SUGA : จริงๆ แล้วผมไม่ได้ยึดติดกับตัวเลขหรือสถิติเลยครับ ปีที่แล้วมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจริงๆ แต่สิ่งที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผมที่สุดคือการแสดงที่งานประกาศรางวัล American Music Awards ครับ ผมโตมากับการหางานประกาศรางวัลดูทางอินเตอร์เน็ตเพราะมันไม่มีถ่ายทอดทาง TV แค่ได้ไปออกรายการก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วแต่การได้ทำแสดงก่อนหน้า Diana Ross ที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ (Lifetime Acheivement) เป็นเหตุการณ์ที่พูดไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ครับ

Q: ที่พิเศษไปกว่านั้นคือกระแสตอบรับที่อเมริกาที่มีความร้อนแรงมาก แฟนๆ ท้องถิ่นอเมริกาเริ่มแคมเปญขอเพลงทางสถานีวิทยุ เป็นพลังให้กับการทำอันดับบนชาร์ต Billboard ความนิยมของพวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วเบาลง ด้วยในตอนนี้ที่เพลง MIC Drop เวอร์ชั่น Remix ติดอันดับบนชาร์ต Billboard เป็นเวลา 8 สัปดาห์ซ้อน และอัลบั้ม LOVE YOURSELF 承 ‘Her’ ที่ติดอันดับบนชาร์ต Billboard 200 รวมทั้งสิ้น 15 สัปดาห์ แฟนๆ ท้องถิ่นอเมริกาแสดงปฏิกิริยาตอบรับที่กระตือรือร้นให้เห็นได้จากส่วนไหน

▲ SUGA : วิธีและการแสดงความรักที่มีต่อพวกเราของแฟนคลับเกาหลีและอเมริกาไม่ได้ต่างกันมากครับ ถ้าให้เลือกล่ะก็ แฟนๆ ที่นู่นชอบเวลาที่พวกผมอยู่ด้วยกันที่สุด เขาคงมองว่าพวกผมเป็นเคสที่ไม่เหมือนใครเพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็อยู่ด้วยกันตลอด

▲ RM : ถึงจะเป็นบริบทที่เหมือนกันแต่สุดท้ายแล้วแฟนๆ ก็คือคนทั่วไปที่เสพคอนเทนท์ของพวกเราก่อนที่จะมาเป็นแฟนคลับครับ ซึ่งผมคิดว่าคนพวกนั้นกลายเป็น ‘แฟนคลับที่ฮาร์ดคอร์’ ได้ก็เพราะพวกเขาแยกแยะความแตกต่างที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาได้นี่เองครับ เมื่อเคมีและความจริงใจของพวกเราที่สัมผัสได้ผ่านคอนเทนท์วิดีโออย่างการแสดง, เบื่องหลัง ฯลฯ ควบรวมเข้ากับดนตรีและการแสดงที่มีคุณภาพสูงแล้ว ไม่มีอาวุธไหนที่ทรงพลังไปมากกว่านี้ครับ สิ่งเหล่านี้ก้าวข้ามกำแพงทางภาษา กลายเป็นชนวนในการขอเพลงของพวกเราทางวิทยุครับ

Q: พวกคุณไปปรากฎตัวใน 3 รายการทอลค์โชว์ยักษ์ใหญ่ แล้วเรื่องราวเบื้องหลังการทำงานล่ะเป็นยังไง

▲ V : สิ่งที่ตราตรึงในความทรงจำที่สุดก็คือคำถามที่ว่า ‘ทำไมแฟนๆ ของพวกนายร้อนแรงขนาดนี้’ และ ‘ไปได้แฟนคลับดีๆ แบบนี้มาได้ยังไง’ ครับ (แล้วพอถาม V ว่าแล้วเขาตอบคำถามพวกนั้นไปว่าอะไร เขาบอกว่า) RM ที่เก่งภาษาอังกฤษเป็นคนตอบตลอดครับ

▲ RM : เดิมทีเราแค่จะไปแสดงแปปเดียวทั้ง 3 รายการแต่โปรดิวเซอร์เห็นกระแสตอบรับกับ ‘เสียงร้องคลอตามเพลง’ ของแฟนๆ ที่มาในรายการก็เลยเพิ่มช่วงเกมส์และช่วงทอล์คกับ MC เข้าไป อย่างของ Ellen เดิมทีก็ไม่มีช่วงทอล์ค เธอก็เลยบอกว่า ‘ไม่ได้การละ ต้องทำอะไรสักอย่างเพิ่ม’ นี่เป็นพลังของแฟนๆ จริงๆ ครับ

▲ JIN : พวกผมตั้งใจจะพูดกันคนละประโยคก็เลยจำคำกับวลีเท่ห์ๆ มาจากพี่ล่าม แต่ผมก็ตอบคำถามไม่ได้เท่าไหร่เพราะไม่ค่อยเข้าใจคำถามครับ แต่มันก็น่ารักดีนะครับเพราะอย่าง V เตรียมตอบคำถามที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะโดนถามทั้งคืนเลยแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น

▲ V : (ขณะที่หาคำตอบที่จดโน้ตเอาไว้ในมือถือ) มันเป็นคำถามเกี่ยวกับการแสดงที่คาดว่าน่าจะถามก็เลยจำคำตอบเอาไว้เลยครับแต่ Ellen ก็ไม่ถาม ทั้งๆ ที่พี่ล่ามบอกว่า ‘ความเป็นไปได้ที่จะถามคำถามนี้มีสูงมาก’ แท้ๆ…(หัวเราะ)

Q: ตั้งแต่ปี 2013 ที่เดบิวต์ พวกคุณเผชิญหน้ากับความฝันและความเป็นจริงของเด็กและวัยรุ่น เพลง ‘The Last (마지막)’ ในมิกซ์เทปของ SUGA เปิดใจถึงการแบ่งแยกระหว่างความเป็นจริงในช่วงที่ฝันจะเป็นไอดอลสตาร์ กับโรคซึมเศร้าและโรคย้ำคิดย้ำทำ เวลาหันกลับไปมองสมัยช่วงที่เป็นเด็กฝึก คุณเอาชนะแรงหวาดวิตกได้อย่างไรและคิดว่าตอนนี้อยู่จุดไหนของสิ่งที่ฝันเอาไว้

▲ SUGA : ความรู้สึกหวั่นกลัวและเดียวดายจะอยู่กับเราไปตลอดทั้งชีวิต การคลี่คลายตัวเองจากสิ่งเหล่านั้นด้วยวิธีไหนก็มีความสำคัญ แต่เรายังต้องเรียนรู้ไปตลอดทั้งชีวิตครับ ความรู้สึกในแต่ละสถานการณ์กับแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกันมาก ผมคิดว่าชีวิตก็คือการที่เรามีความวิตกกังวลอยู่ในทุกช่วงเวลา เพราะฉะนั้นผมถึงอยากบอกผู้คนมากมายผ่านเนื้อเพลงนี้ว่า ‘ผมเองก็หวั่นวิตก คุณเองก็เป็นเหมือนกัน มาเรียนรู้ไปด้วยกันแล้วกัน’ ครับ ผมไม่เคยไม่มีความฝันเลยครับ และผมก็ทำความฝันนั้นทั้งหมดได้สำเร็จแล้ว ตอนเป็นเด็กฝึก การได้เดบิวต์เป็นศิลปินเพื่อที่จะได้ทำเพลงคือความฝันของผม, หลังเดบิวต์มาก็ได้มีโอกาสได้ที่ 1, พอได้ที่ 1 แล้วก็ได้แดซัง แล้วก็ได้ออกไปญี่ปุ่นกับอเมริกา ความจริงแล้ว Billboard หรือกระทั่ง AMA เป็นเรื่องที่ไกลตัวมากๆ แต่ก็ทำได้สำเร็จแล้ว ถึงตอนนี้ผมจะไม่มีความรู้สึกที่จะมุ่งหน้าไปเพื่อความฝันที่ชัดเจนเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดเมื่อไม่นานมานี้คือการที่คุณค่าและความสุขในฐานะมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญเหมือนกัน การจะคว้าสิ่งเหล่านั้นมาได้ยังคงห่างไกลจากตัวเราอยู่มากครับ เราอาจจะทำหลายสิ่งหลายอย่างในฐานะศิลปินได้สำเร็จ แต่หนึ่งปีที่ผ่านเป็นช่วงเวลาที่เป็นจุดเปลี่ยนทีเดียวครับ ผมทำเพลงมาเกิน 10 ปีแล้วตั้งแต่ก่อนเดบิวต์ทั้งๆ ที่อายุแค่ 26 นั่นเป็นเพราะต่อไปผมจะทำเพลงไปอีกยาวนานมากยิ่งขึ้น เป็นช่วงต้นปีที่ได้คิดอะไรมากมายจริงๆ ครับ

▲ RM : มนุษย์เหมือนถูกโปรแกรมมาเพื่อให้คิดและมีความรู้สึกลังเลในเวลาเดียวกัน สิ่งนี้เป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งเพื่อควบคุมอีกโลกหนึ่ง (T/N: หมายความว่า ความสงสัยของมนุษย์ทำให้เกิดการตั้งคำถามซึ่งนำไปสู่การพัฒนาและวิวัฒนาการต่างๆ) การที่เรานึกถึงการลาจากขณะมีความรัก และนึกถึงความตกต่ำและความล้มเหลวขณะที่รู้สึกถึงความสำเร็จเป็นสิ่งที่อยู่ในยีนของเรา บริบทมันเหมือนกับของ SUGA ฮยองที่ว่าความหวาดวิตกมันเป็นเหมือนกับเงา ถ้าพูดถึงในเคสของผม ระหว่างที่คุณพ่อของผมทำงานบริษัทมา 25 ปีคุณพ่อมีอาการเสียงอื้อในหูครับ ต่อให้อาการจะหายไปเวลาที่จดจ่ออยู่กับงานหรือทำอะไรที่ชอบ แต่เวลาเครียดหรือเผชิญหน้าอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง อาการก็จะกำเริบขึ้นมาถีงขั้นที่รบกวนการใช้ชีวิตจนคุณพ่อบอกว่าเหนื่อยเลยล่ะครับ ความหวาดวิตกที่เกิดขึ้นกับใครๆ ในรูปของอาการหูอื้อก็เป็นสิ่งที่เหมือนกับเงา ซึ่งเช่นถ้าความสูงของผมสูงขึ้น (เงานั้น) ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น และพอตกกลางคืนก็จะยิ่งทอดยาว เพราะฉะนั้นผมไม่อาจพูดว่าเราจะเอาชนะความรู้สึกลังเลในอีกด้านหนึ่งของหัวใจได้ กลับกัน ใครๆ ก็ต้องมีความเหงาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้กับความมืดหม่นอยู่ เราถึงได้ต้องการที่พำนักพักใจ แต่ก่อนผมทำแต่เพลงอยู่อย่างเดียว ผมโชคดีที่เลือกทางนี้เลยได้พบกับคนดีๆ จนประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เพราะงั้นผมเลยสร้างที่พำนักพักใจขึ้นมาหลายๆ แบบ ที่ทำให้ความหวาดวิตกนั้นค่อนข้างจะกลายเป็นมิตรไปกับผม ไม่ว่าจะเป็นการสะสมฟิกเกอร์ ซื้อเสื้อผ้าที่ชอบ หรือไปเที่ยวชมในหมู่บ้านที่ไม่รู้จักเพื่อเฝ้าดูว่าผู้คนใช้ชีวิตอยู่กันยังไง พอผมได้ขึ้นรถเมล์และลงป้ายหมู่บ้านที่ผมไม่รู้จักแล้ว ผมก็จะรู้สึกว่าผมไม่ได้อยู่ห่างไกลออกไปจากโลกใบนี้ และยังเป็นโอกาสที่ทำให้ระยะทางแคบลง ความหวาดวิตกของผมนั้นก็เลยมลายหายไป

Q: แต่พอมองดูเนื้อเพลงที่หลอมรัวประสบการณ์เอาไว้ เห็นเลยว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมาพวกคุณมีช่วงเวลาที่เหนื่อยยากมากมาย

▲ JIN : ผมเป็นประเภทที่หลบหลีกช่วงเวลาเหล่านั้น ก็เลยเล่นเกมส์และพยายามใช้ชีวิตที่ต่างออกไป เวลาผมเล่นเกมส์ ผมได้ลองใช้ชีวิตด้วยบุคลิกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้เริ่มเล่นเกมส์อีกครั้ง แล้วก็บังเอิญได้เจอเพื่อนๆ ที่เคยเจอตอนเล่นเกมส์เมื่อ 10 ปีก่อนด้วยครับ แน่นอนว่าเราไม่เคยเจอกันจริงๆ หรอกครับ พวกเขาเป็นเพื่อนๆ บนโลกไซเบอร์ที่ผมรู้จักแค่ชื่อไอดี แต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอพวกเขายังไงไม่รู้ มันก็สนุกดีนะครับเพราะได้หวนนึกถึงความทรงจำในวัยเด็กขึ้นมา

▲ JIMIN : บางทีตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เดียวดายและอ่อนล้าที่สุดแล้วล่ะครับ พวกเราพูดเสมอว่าพวกเรามีความสุข แต่เวลาที่ช่วงเวลาที่ยากลำบากมาถึงมันก็รู้สึกเหงานะครับที่ไม่มีครอบครัว เพื่อน หรือคนสักคนที่เข้าใจ สิ่งที่ผมทำเมื่อไม่นานมานี้ก็คือลองกลับไปฟังเพลงของพวกเราอีกครั้ง และหาคลิปที่พวกเราไปไลฟ์มาดู ทำให้หัวใจของผมรู้สึกโอเคขึ้นมาหน่อยครับ

ที่มา | Yeonhap News
แปลจากเกาหลีเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

DMCA.com Protection Status

ทาง CANDYCLOVER มีความยินดีหากผู้อ่านเล็งเห็นประโยชน์ของคอนเทนต์นี้ และต้องการนำไปประกอบเอกสารหรือสื่อทางการศึกษา เผยแพร่ต่อบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงนำไปผลิตของที่ระลึก เช่น Giveaway สำหรับแจกฟรี มิใช่การจัดจำหน่าย

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง กรุณาติดต่อทางอีเมลล์ bts.candyclover@gmail.com และรอการตอบกลับที่ระบุว่าอนุญาตแล้วเท่านั้น ยกเว้นกรณีการนำข้อมูลที่ “แปล เรียบเรียง หรือจัดทำโดย CANDYCLOVER” ไปรีโพสต์ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ รีโพสต์บนแฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด ที่มิใช่แพลตฟอร์มของ CANDYCLOVER พร้อมใส่เครดิตเองโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงนำไปเป็นคอนเทนต์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่เข้าข่ายแอบอ้างผลงาน หากพบเห็นจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

หากท่านชื่นชอบคอนเทนต์ที่ CANDYCLOVER นำเสนอ สามารถให้การสนับสนุนพวกเราได้ง่าย ๆ เพียง 1.) ไม่สนับสนุนแอคเคาต์ที่แอบอ้างข้อมูลที่แปลโดย CANDYCLOVER 2.) รีพอร์ตแอคเคาต์ดังกล่าวผ่านระบบของแพลตฟอร์มที่ท่านพบเห็นโพสต์ที่เข้าข่าย โดยเลือกหัวข้อ “ละเมิดลิขสิทธิ์” 3.) สนับสนุนค่ากาแฟทาง Ko-fi หรือ Patreon

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!

Post a Comment