ประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาผ่านบทเพลง หวังว่าผู้คนจะได้คิดทบทวนไปด้วยกัน — BTS, 2018

“ในอัลบั้มใหม่นี้ เราอยากเข้าใกล้ ‘หนทางที่จะทำให้หันมารักตัวเอง’ มากขึ้นอีกก้าว”

“K-Pop คือ ‘แพ็กเกจรวมงานอาร์ตโดยสมบูรณ์’…มีหลุมดำที่จะทำให้เราถลำลึกลงไปอยู่มากมาย”

ถ้าให้เลือกความแตกต่างใน BTS คลาส มาเพียงอย่างเดียวก็ต้องเป็นเพลงที่พวกเขาปั้นขึ้นมากับมือ BTS ขุดสิ่งที่คนวัยเดียวกันขาดแคลนและความวิตกกังวลของพวกเขาออกมา และปลอมประโลมพวกเขาด้วยความรู้สึกที่มีร่วมกัน

วิธีพูดของพวกเขาบ้างก็มีความเป็นผู้ใหญ่เหมือนรุ่นพี่ บ้างก็ตรงไปตรงมาเหมือนเพื่อน

สำหรับผู้ที่ส่งสารแก่วัยรุ่นที่ปรารถนาให้วันข้างหน้าแตกต่างไปจากวันนี้ พวกเขาถูกตัดออกจากการออกอากาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะพวกเขาเป็น ไอดอลที่ไม่พิเศษอะไรจากสังกัดเล็ก ๆ ในขณะเดียวกันพวกเขาคือผู้ที่ตบหลังเราแล้วบอกว่า ที่ที่มีความหวังย่อมมีความสิ้นหวัง (เพลง SEA), ไม่ต้องหักโหมหรอก ล้มลงบ้างก็ไม่เป็นไร (เพลง FIRE) และตะโกนออกมาอย่างมุ่งมั่นว่า จงทะลายเพดานกระจกที่กักขังแกเอาไว้เสีย (เพลง NOT TODAY)

เนื้อเพลงของพวกเขาลงลึกถึงความเป็นจริงของยุคสมัยที่เพลงของไอดอลพยายามทิ้งระยะห่าง เช่นประเด็น ‘เจเนอร์เรชั่นที่ต้องละทิ้ง 3 สิ่ง (3포 세대)’ ที่ถูกการใช้ชีวิตอันทรหดโหมกระหน่ำเข้าใส่ ตั้งแต่สภาพการศึกษาที่ต้องพุ่งตัวเข้าสู่การแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือประเด็น เรื่องค่าจ้างน้อยนิดแลกประสบการณ์ (열정 페이) และทฤษฎีช้อนแบ่งลำดับชนชั้น (수저계급론) ที่สะเทือนอารมณ์คนหนุ่มสาว เนื้อเพลงที่สะท้อนสภาพสังคมอย่าง ‘YOLO (You only live once)’ และ ‘ผลาญสนุก (탕진잼)’ จากเพลง Go Go ก็มีพลังซึมซับอย่างยิ่ง

“ใครกันที่ทำให้เรากลายเป็นเครื่องจักรเรียนหนังสือ? หากไม่เป็นที่หนึ่งก็ต้องถูกแบ่งแยกให้อยู่รั้งท้าย” — N.O

“ที่ฉันเป็น ‘เจเนอร์เรชั่นที่ต้องละทิ้ง 6 สิ่ง (6포 : ยุกโพ)’ ก็เพราะฉันชอบกินเนื้อแดดเดียว (육포 : ยุกโพ) พวกสื่อกับพวกผู้ใหญ่บอกว่าคนรุ่นเรามันไม่มีความตั้งใจ และเทขายพวกเราอย่างกับหุ้น” — Dope (쩔어)

“ไปทำงานพิเศษก็ได้เพียงเงินน้อยนิดแลกประสบการณ์ นี่มันไม่ปกติแล้วไม่ใช่หรือไง หยุดย้ำเรื่องความอุตสาหะเสียที” – Silver Spoon (뱁새)

กระทั่งเพื่อสร้าง ‘ความแตกต่าง’ เมมเบอร์ปล่อยเพลงไม่เป็นทางการบน SoundCloud อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเขาค้นพบความสนุกสนานในการสร้างสรรค์ผลงาน และเพิ่มความลึกซึ้งลงไปในสิ่งที่จะสื่อสารในเนื้อเพลง และในบางครั้งก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานวรรณกรรมด้วยเช่นกัน

สิ่งเหล่านี้เป็นบันไดเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ อาศัยการหยิบยกประเด็นและสร้างสรรค์อัลบั้มซีรี่ส์ที่มีการเล่าเรื่องราวที่แข็งแกร่ง ดังที่เห็นได้จาก ซีรี่ส์โรงเรียนไตรภาค (อัลบั้ม 2 Cool 4 Skool, อัลบั้ม O!RUL8,2? และอัลบั้ม Skool Luv Affair) และซีรี่ส์วัยรุ่น (อัลบั้ม The Most Beautiful Moment in Life Pt.1, อัลบั้ม The Most Beautiful Moment in Life Pt.2 และอัลบั้ม The Most Beautiful Moment in Life: Young Forever) เป็นต้น ในอัลบั้ม Love Yourself 承 ‘Her’ ที่ปล่อยออกมาเมื่อปีที่แล้ว พวกเขายังชักชวนผู้ฟังเพื่อร่วมหาหนทางให้หันมารักตัวเองไปพร้อม ๆ กันกับพวกเขา

BTS เน้นย้ำระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งนี้ “ผมหวังว่าผู้คนจะได้ทบทวนร่วมกันว่าการรักตัวเองคืออะไรและต้องทำอย่างไรถึงจะมีความสุข ผ่านประเด็นที่ผมหยิบยกขึ้นมาในงานเพลง”

ลีดเดอร์ RM ยังเปิดเผยเกี่ยวกับถ้อยความที่จะนำเสนอให้อัลบั้มถัดไปอีกด้วยว่า “ผมอยากหาบทสรุปให้กับตัวเองจากซีรี่ส์ Love Yourself ที่พวกเรากำลังสื่อสารอยู่ในตอนนี้ ผมอยากจะซื่อตรงกับความรู้สึกนี้และเข้าใกล้หนทางที่ทำให้กันมารักตัวเองได้มากขึ้นครับ”


ต่อไปเป็นช่วงถาม-ตอบกับ BTS

คอนเซ็ปต์โฟโต้เวอร์ชั่น O จากอัลบั้ม Love Yourself 承 ‘Her’ (2017)

SUGA: ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ที่เราสนุกกับการปล่อยเพลงเพราะเราชอบดนตรี ไม่ใช่เป็นเพราะโอกาสพิเศษใด ๆ เราถึงได้เข้าใจในแทร็กไม่เป็นทางการ มันเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลเลยหากโปรดิวเซอร์เข้าถึงผู้ฟังในเชิงพาณิชย์ ผมได้ยินมานักต่อนักว่า เราปล่อยเพลงพวกนี้ออกมาทำไม? เหตุมีเพียงข้อเดียว นั่นคือพวกเรารู้สึกสนุกกับการทำเพลงครับ ทำเพลงเสร็จ ปล่อยเพลงออกมาแล้วก็รับฟีดแบ็ก ถ้อยคำหรือความรู้สึกแท้จริงที่ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือได้ยากสามารถสื่อสารออกมาผ่านงานเพลงได้ครับ แม้จะเป็นวงที่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาเยอะและใช้โซเชียลได้อย่างเป็นประโยชน์ แต่การปล่อยแทร็กไม่เป็นทางการก็เป็นหนึ่งในวิธีการสื่อสารของเราครับ การปล่อยแทร็กต้นฉบับออกมาทีละ 10 เพลงไม่ใช่สิ่งที่สามารถตัดสินใจทำได้ง่าย ๆ ผมจึงพูดออกมาไม่ได้ว่าผมก็แค่ทำเพราะอยากทำเฉย ๆ ขั้นตอนเหล่านี้มีส่วนช่วยในการทำอัลบั้มของเราอย่างมาก ส่วนตัวแล้วผมมีความรู้สึกเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะแทร็กไม่เป็นทางการที่เคยปล่อยในอดีตนั้น ผมทำขึ้นในช่วงที่คิดเยอะและยังเป็นคนที่แข็งกระด้างอยู่ แต่ผมก็รู้สึกว่าเหลี่ยมมุมที่เคยแหลมคมถูกเหลาออกไปเพราะสิ่งเหล่านี้ มันจึงเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของชีวิตแหม และทำให้ผมมีพัฒนาการในเชิงการทำงานเพลงมากขึ้นครับ

Q: ก่อนหน้าซีรี่ส์วัยรุ่นอย่าง ‘The Most Beautiful Moment in Life (화양연화)’ จะปล่อยออกมา ทราบมาว่าพวกคุณกังวลเกี่ยวกับทิศทางของงานเพลงเป็นอย่างมาก อยากทราบว่าพวกคุณมีการลองผิดลองถูกไหม และจับทิศทางผ่านกระบวนการใด

RM: เราลองผิดลองถูกในงานเพลงอยู่ตลอดว่าเพลงเข้าสู่ชาร์ต Billboard หรือหลุดออกจากชาร์ต Melon ที่อันดับที่เท่าไหร่ หากการลองผิดลองถูกของเราแต่ก่อนอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะดึงดูดแฟน ๆ และผู้ฟังทั่วไปโดยที่รักษาอัตลักษณ์ของเราไว้ได้ ในตอนนี้ที่มีคนฟังเพลงของเรามากขึ้นเราจึงกำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งเพลงไตเติ้ลถัดจากเพลง DNA ซึ่งเพลงไตเติ้ลถัดไปของเราก็จะผ่านการลองผิดลองถูกมากมาย เช่นเดียวกับที่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้จะผลิดอกออกผลผ่านการลองผิดลองถูกน้อยใหญ่ครับ

j-hope: ระหว่างที่ทำงานในฐานะ BTS พวกเราเองก็เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไปด้วยครับ พวกเรากังวลมากครับว่าเวลายึดหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งแล้วจะสื่อสารเรื่องราวของเราให้ดีได้อย่างไร

Q: แม้อัลบั้มที่ปล่อยออกมาจนถึงตอนนี้มีธีมแตกต่างกัน แต่ก็ยังคงความต่อเนื่องในการถ่ายทอดถ้อยคำที่คนวัยเดียวกันจะเกิดความรู้สึกร่วม พวกคุณใช้วิธีไหนในการรวบรวมความคิดที่แตกต่างกันของเมมเบอร์ทั้งเจ็ด

SUGA: วิธีการทำเพลงของพวกเราคือ เมมเบอร์ทุกคนมีส่วนร่วมในการหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งและบีตใดบีตหนึ่ง ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นจึงจำเป็นต้องมีจุดที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งงานเพลง ๆ หนึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาได้หลังจากโปรดิวเซอร์ ‘Pick’ ชิ้นงานที่ดีที่สุดออกมา พวกเราทำสิ่งต่าง ๆ โดยมีมาตรฐานอย่างชัดเจนมาโดยตลอด เพราะพูดถึงสิ่งที่ถูกและผิกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นที่ผู้คนเกิดความรู้สึกร่วมกับสิ่งที่เราสื่อสารก็เพราะงานเพลงของเราเริ่มมาจากสิ่งที่ใคร ๆ ก็เข้าใจได้เช่น ‘สิ่งที่บางคนมองว่าถูก แต่อีกคนมองว่าผิด’ ล่ะมั้งครับ

Q: เมื่อพิจารณาเนื้อเพลงแล้วก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของ Seo Taiji and Boys ในยุค 90 ในแง่ของการเล่าเรื่องที่ใครสักคนควรพูดแต่ยังไม่มีใครเคยพูดออกมา

SUGA, RM: คุณพี่ซอแทจีเคยบอกกับเราแบบนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังให้คำแนะนำในการแสดงคอนเสิร์ตกับพวกเราด้วยครับ (เมื่อปีที่ผ่านมา พวกเขาร่วมโปรเจครีเมกเพลงฉลองซอแทจีเดบิวต์ครบรอบ 25 ปี และร่วมแสดงคอนเสิร์ตกับซอแทจีที่ Jamsil Seoul Olympic Stadium)

Q: เวลาที่พวกคุณร้องเพลง มีเนื้อเพลงที่พวกคุณคิดว่าพึงพอใจมั้ย

SUGA: ผมชอบท่อน ‘เพราะรุ่งอรุณสุดมืดมิดก่อนอาทิตย์โผล่ที่ขอบฟ้า’ ในเพลง Tomorrow ที่สุดครับ ขนาดตอนแต่งก็แต่งได้ไม่มีอะไรติดขัดเลยครับ

Jung Kook: สำหรับผมคือเนื้อเพลงท่อน ‘ที่ที่มีความหวังย่อมมีความสิ้นหวัง’ ในเพลง SEA (바다) มันมีอะไรสักอย่างโดนใจผม แม้ผมจะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร (เพลง SEA (바다) เป็นเพลงที่ RM แต่งขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลจากวลี ‘ที่ที่มีความหวัง มีบททดสอบ’ จากวรรณกรรมเรื่อง 1Q84 โดยฮารุกิ มุรากามิ)

RM: ในบรรดาเพลงที่ผมเพิ่งแต่งไปเมื่อไม่นานมานี้ เนื้อเพลง Best Of Me ท่อน ‘ฉันหวังเป็นระลอกคลื่นที่อ่อนโยน แต่เหตุใดฉันถึงไม่รู้ว่าเธอคือทะเล’ คือท่อนที่โดนใจผมครับ ผมอยากเป็นคนที่ให้การช่วยเหลืออย่างยิ่งแก่แฟน ๆ เหมือนระลอกคลื่นที่อ่อนโยน แต่ดู ๆ ไปแล้วผมกลับได้ตระหนักว่าแฟน ๆ ยิ่งใหญ่กว่าผมมาก ๆ และเป็นคนที่สร้างผมขึ้นมาครับ

j-hope: สำหรับผมเป็นเนื้อเพลงของเพลง 2 เพลงครับ เพลงแรกคือคำพูดที่บอกกับแฟน ๆ ว่า ‘(ขอบใจนะ) ที่เป็นดอกไม้ (= ความราบรื่น) ของช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด’ ของเพลงที่มีชื่อว่า ‘2! 3! (둘! 셋!)’ เพราะมันเพราะมาก ๆ ครับ ทุก ๆ ครั้งที่ร้องเพลงนี้ ท่อนนี้ยังคงบรรจุความรู้สึกนั้นเอาไว้ตามความหมายเหมือนเดิมเลยครับ สำหรับพวกเราแล้วอัลบั้ม ‘The Most Beautiful Moment in Life (화양연화)’ เป็นอัลบั้มที่มีความหมายอย่างยิ่ง และแฟน ๆ ก็เป็นดอกไม้ที่สวยงามให้กับพวกเรา ส่วนในเพลง ‘Epilogue: Young Forever’ ก็มีท่อนที่ร้องว่า ‘อยากจะเป็นเด็กตลอดไป’ ท่อนนี้ทำให้ผมได้คิดอะไรต่อมิอะไรมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปครับ

Jimin: สำหรับผมเป็นเนื้อเพลงของเพลง ‘Epilogue: Young Forever’ ทั้งเพลงเลยครับ เพลงนี้ทำให้เราร้องไห้อย่างหนักเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เราคิดระหว่างแสดงคอนเสิร์ตหลอมรวมเข้ามาในความคิดเป็นอย่างดี

V: ผมชอบเนื้อเพลงทุกเพลงของ RM ฮยองเลยครับ ผมชอบเนื้อเพลงของเพลง ‘Epilogue: Young Forever’ ทั้งเพลง แต่ถ้าให้เลือกมาสักท่อนก็คือท่อน ‘เพราะฉันทำให้ใคร ๆ เปล่งเสียงตะโกนออกมาได้’ กับท่อน ‘อยากจะเป็นเด็กตลอดไป’ ครับ

Jin: ผมชอบท่อน ‘ไม่เป็นไรนะ นับหนึ่งสองสามแล้วลืมมันไปซะ’ ในเพลง ‘2! 3! (둘! 셋!)’ ครับ ผมเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบหลีกเลี่ยง ก็เลยลืมความทรงจำทิ้งไปหมด ณ ตอนนี้ผมพยายามที่จะมีความสุขเสมอ เนื้อเพลงของเพลงนี้จึงโดนใจผมมาก ๆ ผมดำเนินชีวิตมาด้วยความคิดที่ว่า อยากจะมีความสุขก็ต้องลบเลือนความทรงจำที่ไม่ดีทิ้งไปครับ

คอนเซ็ปต์โฟโต้เวอร์ชั่น L จากอัลบั้ม Love Yourself 承 ‘Her’ (2017)

Q: เห็นว่าพวกคุณกำลังเตรียมอัลบั้มใหม่กันอยู่ด้วย คุณคิดว่าจะพัฒนาอัลบั้มนี้ไปสู่การส่งสารแบบไหน

SUGA: เราไม่ได้อยู่ในขั้นตอนที่พูดถึงได้เพราะยังมีแต่ภาพกว้าง ๆ ครับ สิ่งที่พวกเราคุยกันตั้งแต่ช่วงทัวร์คอนเสิร์ตหนัก ๆ เมื่อปีที่แล้วคือเรื่องของความสุข ว่าท้ายที่สุดแล้วความสุขคืออะไร ต้องทำอย่างไรถึงจะมีความสุข ผมเป็นคนที่คิดว่าถ้าตั้งใจจะมีความสุขจะไม่สามารถมีความสุขได้ แต่ผมก็คิดว่าเราต้องพยายามมีความสุขไม่ว่าจะด้วยหนทางใดก็ตาม ต้องลองศึกษาและค้นคว้า ผมคิดทบทวนมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยว่าความสุขคืออะไร และต้องทำอย่างไรถึงจะมีความสุขได้ ไม่เคยมีใครสอนหรอกครับ ผมคิดว่าหากหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมา ก็คงจะมีผู้คนมากมายได้พูดคุยแบ่งปันเรื่องพวกนี้กัน

RM: ต้นปีที่แล้วผมก็ติดอยู่กับคีย์เวิร์ดคำว่าความสุขครับ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์ระหว่างเดินทางไปญี่ปุ่น เนื้อหาในคอลัมน์นั้นบอกว่า มนุษย์เราไม่มีทางได้มาซึ่งความสุขที่ปรารถนา คนเราไม่อาจได้มาซึ่งความสุขไปตลอดกาลเพราะพันธุกรรมของคนเราเป็นแบบนั้น แม้มนุษย์ทำเป้าหมายสำเร็จตามที่ปรารถนา เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรม, ความเจริญก้าวหน้าของวงการวิทยาศาสตร์ ฯลฯ แต่เมื่อมนุษย์ทำสิ่งหนึ่งสำเร็จ ก็จะรู้สึกขาดแคลนสิ่งอื่น แม้แต่พวกเราเองก็เหมือนกัน เพราะพอได้ที่ 1 ก็เหมือนจะมีความสุข แต่ก็จะมีเป้าหมายถัดไป ผมรู้สึกเห็นด้วยกับข้อความในคอลัมน์นั้นมาก ๆ ครับ เพราะฉะนั้นในตอนนี้ที่เรากำลังมีความสุข ผมจึงอยากหาบทสรุปให้กับตัวเองจากหัวข้อ Love Yourself ที่เรากำลังสื่อสารอยู่ครับ ‘Love Yourself’ พูดถึงการตามหาหนทางให้เราหันมารักตัวเราเอง ความฝันของผมไม่ใช่การคว้าอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard แต่เป็นการรักตัวเองให้เป็น เพราะถึงผมจะเผชิญหน้ากับความน่าสมเพชและความอัปลักษณ์ของตัวเองมาไม่รู้กี่ร้อยล้านครั้ง ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ที่เป็นตัวผมได้อย่างถ่องแท้ โชคดีที่ตอนนี้ผมได้บรรจบกับคอนเซ็ปต์ Love Yourself ผมอยากจะซื่อตรงกับความรู้สึกนี้และเข้าใกล้หนทางที่ทำให้กันมารักตัวเองได้มากขึ้นครับ มีหลายสิ่งที่ผมสามารถสื่อสารผ่านหัวข้อนี้ได้ เช่น ความมืดหม่น และความอ้างว้างครับ

Q: พวกคุณแต่งเนื้อเพลงโดยได้รับแรงบันดาลใจจากวรรณกรรมอย่างเรื่อง 1Q84 และ เดเมียน ฯลฯ และอ้างอิงเรื่อง The Ones Who Walk Away From Omelas ที่อยู่ในคอลเล็คชั่นรวมเรื่องสั้น The Wind’s Twelve Quarters ในมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Spring Day (봄날)’ อีกด้วย ตอนนี้พวกคุณกำลังอ่านหนังสือเรื่องอะไรกันอยู่

SUGA: เมื่อไม่นานมานี้ผมอ่านหนังสือเยอะมากเลยครับ ผมชอบอุปกรณ์ดิจิตอลเหมือนพวกลูกค้ากลุ่มแรก (Early Adopter) นะแต่ผมย้อนกลับไปสู่ความเป็นอนาล็อกครับ ผมเริ่มกลับมาจดข้อความและอ่านหนังสือเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกครั้ง เมื่อไม่นานมานี้ผมอ่านหนังสือเรื่อง ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง (Life Lessons) ขอจิตแพทย์และนักเขียนชื่อ อลิซาเบธ คืบเบลอร์-รอสส์ แกเขียนหนังสือหลายเล่มเลยครับ ส่วนตอนนี้ผมกำลังอ่านเรื่อง About A Dream (夢について/그녀에 대하여) ของนักเขียนญี่ปุ่นชื่อ โยชิโมโตะ บานานะ

RM: ผมก็กำลังอ่านเรื่อง Kitchen ของโยชิโมโตะ บานานะ เหมือนกัน เพราะมีหนังสือเล่มนี้อยู่ที่บ้านครับ

j-hope: ผมกำลังย้อนกลับสู่ความไร้เดียงสาในวัยเด็กก็เลยตั้งใจว่าจะอ่านนิยายฝรั่งเศษของ ฌูล แวร์น ที่เป็นนิยายคลาสสิกแนววิทยาศาสตร์เรื่อง ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์ (Twenty Thousand Leagues Under the Sea) และ 80 วันรอบโลก (Around the World in Eighty Days) ที่เคยอ่านเมื่อสมัยก่อนอีกครั้ง เดี๋ยวนี้ความไร้เดียงสาของเด็กเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมรีแลกซ์ครับ

V: หนังสือที่ผมพยายามที่จะอ่านเมื่อไม่นานมานี้คือ Letters to His Son โดย ฟิลลิป สแตนโฮป ขุนนางแห่งเชสเตอร์ฟิลด์ครับ

Q: ถึงแม้ว่าเพลงภาษาเกาหลีเป็นตัวแทนของ K-Pop คุณคิดว่าเอกลักษณ์หรือ DNA ของเพลง K-Pop ซึ่งเป็นที่นิยมคืออะไร

RM: K-Pop คือแพ็กเกจรวมงานอาร์ตโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นงานศิลปะแบบผสมผสานครับ K-Pop เป็นแนวเพลงที่องค์ประกอบให้ความบันเทิงหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานเพลง, มิวสิกวิดีโอ, คาแร็กเตอร์ของแต่ละเมมเบอร์, คอนเทนต์ที่ปล่อยทาง YouTube และบนโซเชียล, แฟชั่น และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้คนทั่วไปอย่างเป็นมิตร แฟน ๆ เกิดความรู้สึกร่วมในเนื้อเพลงของเรา พวกเขาได้รู้จักบุคลิกของเราและรู้สึกใกล้ชิดกับเราเมื่อพวกเขาดูคลิปและรูปต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันที่พวกเราลงในทวิตเตอร์ เรียกได้ว่า K-Pop มีหลุมดำที่จะทำให้เราถลำลึกลงไปอยู่มากมายเลยล่ะครับ

SUGA: คำว่า K-Pop ไม่ใช่คำที่อุบัติขึ้นมานานขนาดนั้น เพราะฉะนั้นยังเหลือสิ่งที่เราต้องทำอีกมากมายหลายอย่างเพื่อกำหนดว่า ‘เพลง K-Pop เป็นแบบนี้’ เหมือนกับการที่มีหมวด K-Pop เกิดขึ้นมาบนชาร์ต Billboard มันก็เหมือนย่างก้าวบางอย่างได้เริ่มต้นขึ้น ผมมีความรู้สึกว่ามันยังเร็วไปที่จะตัดสินอะไรครับ

ที่มา | Yeonhap News
แปลและเรียบเรียงจากเกาหลีเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

DMCA.com Protection Status

ทาง CANDYCLOVER มีความยินดีหากผู้อ่านเล็งเห็นประโยชน์ของคอนเทนต์นี้ และต้องการนำไปประกอบเอกสารหรือสื่อทางการศึกษา เผยแพร่ต่อบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงนำไปผลิตของที่ระลึก เช่น Giveaway สำหรับแจกฟรี มิใช่การจัดจำหน่าย

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง กรุณาติดต่อทางอีเมลล์ bts.candyclover@gmail.com และรอการตอบกลับที่ระบุว่าอนุญาตแล้วเท่านั้น ยกเว้นกรณีการนำข้อมูลที่ “แปล เรียบเรียง หรือจัดทำโดย CANDYCLOVER” ไปรีโพสต์ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ รีโพสต์บนแฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด ที่มิใช่แพลตฟอร์มของ CANDYCLOVER พร้อมใส่เครดิตเองโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงนำไปเป็นคอนเทนต์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่เข้าข่ายแอบอ้างผลงาน หากพบเห็นจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

หากท่านชื่นชอบคอนเทนต์ที่ CANDYCLOVER นำเสนอ สามารถให้การสนับสนุนพวกเราได้ง่าย ๆ เพียง 1.) ไม่สนับสนุนแอคเคาต์ที่แอบอ้างข้อมูลที่แปลโดย CANDYCLOVER 2.) รีพอร์ตแอคเคาต์ดังกล่าวผ่านระบบของแพลตฟอร์มที่ท่านพบเห็นโพสต์ที่เข้าข่าย โดยเลือกหัวข้อ “ละเมิดลิขสิทธิ์” 3.) สนับสนุนค่ากาแฟทาง Ko-fi หรือ Patreon

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!

Post a Comment