BTS’ “My Biography” : SUGA

มุมย้อนมองเรื่องราวการเติบโตของเมมเบอร์ใน Vol.2 พบกับ SUGA คนที่สุขุมเสมอเหมือนคุณพ่อ 

จากเด็กน้อยจอมซนเติบโตเป็นเด็กหนุ่มนักอ่าน

ผมเกิดและเติบโตในแทกูจังหวัดที่สามทางใต้ของเกาหลีจนกระทั่งก่อนจะขึ้นมาที่โซลสมัยยังเล็กผมก็เหมือนเด็กๆทั่วๆไปผมซอบแกล้งคนอื่นจนคุณครูอนุบาลไม่ชอบผมเอาซะเลย (หัวเราะ) จำได้เลยว่าโดนดุบ่อยมากว่า “มันอันตรายนะ!” ผมชอบออกกำลังกายมากก็เลยวิ่งเก่งตั้งแต่สมัยประถมจนมัธยมปลายมาถึงขนาดได้รับเลือกเป็นนักกีฬาวิ่งผลัดส่วนการเรียนก็ระดับกลางๆครับถึงตอนยังเล็กจะชอบเล่นซนนอกบ้านกับเพื่อนๆแต่พอโตมาก็เปลี่ยนไปครับถึงจะออกไปเล่นแต่ก็ไม่ใช่ว่าไปรวมตัวกันที่สวนสาธารณะแล้วทำอะไรต่อมิอะไรหรอกครับผมไม่ค่อยชอบแบบนั้นเสาร์อาทิตย์ก็เลยอยู่บ้านคนเดียวอยู่บ่อยๆคุณแม่ยังบอกเลยว่า “นานๆทีออกไปเจอเพื่อนมั่งก็ได้” (หัวเราะ)

ผมเป็นนักสะสมตอนเด็กๆก็เลยสะสมหนังสือไว้เยอะเลยครับผมอยากเป็นคนที่รอบรู้มีช่วงที่อยากทำเป็นรอบรู้ด้วยอะไรที่เป็นผู้ใหญ่ๆไม่เข้ากับอายุในตอนนั้น เช่นพวกนิยายกลอนเรียงความข่าวอะไรก็ตามแนวๆนั้นผมอ่านหมดครับสมัยม.ต้นผมเคยติดนิสัยอ่านหนังสือมาจากหน้าหลังสุดด้วยเดี๋ยวนี้ผมก็ยังอ่านหนังสืออยู่บ้างผมอาศัยดูประโยคเป็นกลุ่มๆไปก็เลยอ่านได้เร็ว

สมัยประถมเรื่องความทรงจำเรื่องรักแรกนี่…ไม่มีเลยครับต่างจังหวัดจะต่างกับโซลตรงที่มีความหัวเก่าอยู่ยิ่งโรงเรียนที่ผมไปเรียนมันไม่ใช่สภาวะที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะมาคุยกันถ้ามีเด็กผู้หญิงก็จะเขินมากๆและพูดไม่ออกเลยสักคำครับ

การพบเจอกับฮิปฮอป เริ่มเขียนเพลงตั้งแต่ตอนม.ต้น

ผมเริ่มมีความสนใจในดนตรีสมัยประถมตอนป.5 ผมมีโอกาสได้ดูการแสดงของ Stony Skunk ทางทีวีสมัยนั้นเป็นช่วงบูมของแนวบัลลาด ในรายการเพลงถ้ามีออกมา 18 วงวงที่ร้องบัลลาดปาไปแล้ว 10 วง, อีก 5 วงเป็นไอดอล, อีก 3 วงที่เหลือเป็นพวกที่ร้องแนวอื่นไปเลยใน 3 วงนั้นมีอยู่วงนึงครับพวกเขาเท่มากตรงที่พวกเขาแตกต่างจากนักร้องคนอื่นก่อนหน้านั้นผมไม่มีความสนใจในดนตรีเลยแต่มีโอกาสได้เริ่มฟังฮิปฮอปและเร็กเก้จาก Stony Skunk และผมยังได้รับอิทธิพลจาก Epik High ด้วยเหมือนกันครับช่วงนั้นเป็นช่วงที่เริ่มมีเครื่องเล่น MP3 ตัวผมซื้อเครื่องเล่นซีดีของ Panasonic มาไว้ฟังเพลงครับ

ผมเริ่มฟังเพลงอย่างนี้เองล่ะครับระหว่างนั้นก็เริ่มเขียนเนื้อเพลงไปด้วยไม่ใช่ว่าใครมาบอกให้เขียนนะครับแต่มันมีความรู้สึกว่าต้องเขียนตั้งแต่ตอนประถมมาผมก็เริ่มแรพหลังเข้าม.ต้นมาก็เริ่มแต่งเพลงตอนนั้นรอบๆตัวไม่มีใครชอบฮิปฮอปเลย…เดี๋ยวนี้ถึงฮิปฮอปจะเป็นที่นิยมมากในเกาหลีแต่ตอนที่ผมเริ่มฟังนั้นนานมากก่อนที่แนวนี้จะเป็นที่นิยมคงเป็นผมคนเดียวเลยมั้งครับที่เดินแรพอยู่ตามทางเวลาแรพที่ร้านคาราโอเกะเพื่อนๆร้องกันเกรียวเลยมันมีพวกท่าทำไม้ทำมือแบบฮิปฮอปด้วยไงผมก็เอาท่ามาเล่นขำๆเหมือนกัน

ผมก็ชอบฮิปฮอปเรื่อยมาจนพอม.2 ก็ได้ขึ้นเวทีครั้งแรกในงานเทศกาลผมร้องเพลง Go Back ของ Dynamic Duo กับเพื่อนก็ไม่ได้ชอบยืนต่อหน้าคนอื่นหรอกนะครับแต่ตอนนั้นมันมีความรู้สึกว่าต้องทำเพราะผมอยากจะโชว์การแรพที่ผมฝึกมาให้คนอื่นได้เห็นถึงมันจะไม่ได้เรื่องซะเลยล่ะนะ (หัวเราะ)

จริงๆตอนม.ต้นผมอยากเข้าโรงเรียนม.ปลายด้านศิลปะก็เลยแต่งเพลงคลาสสิคด้วยครับแต่ค่าเรียนมันแพงเกินไปสุดท้ายก็เลยเข้าเรียนโรงเรียนม.ปลายทั่วไปตอนนั้นบอกกับคุณพ่อว่า “ตอนนี้ทำเพลงพอแล้วเพราะฉะนั้นพอเข้าม.ปลายไปจะเรียนหนังสือละ” แต่พอเข้าไปก็ไม่ได้เรียนหรอกครับ (หัวเราะ)

เข้าทีมที่จังหวัดบ้านเกิดและเป็นแรปเปอร์เต็มตัว

สมัยม.ต้นผมทำเพลงเป็นงานอดิเรก เอาแค่ที่ตัวเองพอใจแต่ที่เริ่มทำจริงๆจังๆคือตอนที่เปลี่ยนโปรแกรม MD ครับผมเอาเพลงที่ผมเขียนตอนม.4 ไปให้คนที่เป็นเหมือนครูของผมฟังเขาบอกว่าถูกใจมากเขาเลยแนะนำให้ผมรู้จักทีมฮิปฮอปที่ชื่อ D-town และผมเลยได้เข้าไปอยู่ในทีมครับเพลงนั้นมีฟีลลิ่งคล้ายๆเพลงแนว New Age เป็นเพลงที่มีบีทฮิปฮอปแบบ Nujabes ครับคุณครูคนนั้นที่ยอมรับผมเข้าทีมไปเรียนที่ Berklee College of Music และตอนนี้เป็นผู้กำกับหนังอยู่ครับพอผมเข้าทีมมาก็เริ่มแรพอย่างเต็มตัวถึงผมจะแรพมาตั้งแต่ประถมแต่รอบๆตัวไม่มีคนที่แรพเลย ผมเลยนึกว่าผมเก่งที่สุด (หัวเราะ)

ผมก็ทำงานอยู่ในวงการใต้ดินที่แทกูไปตั้งแต่ตอนนั้นมาผมก็รู้ว่าวงการใต้ดินน่ะอยู่กินด้วยเพลงไม่ได้พวกพี่ๆที่ทำเพลงกับผมตอนนั้นส่วนใหญ่อายุมากกว่าผมเป็น 10 ปีทั้งนั้นคนที่อายุเกินสามสิบแล้วก็มีครับพวกพี่ๆเขาทำงานพิเศษไปทำเพลงไปมันดูลำบากมากเลยครับจะแสดงสดทีรวบรวมคนดูได้สิบคนก็สุดยอดแล้วครับเกลียดความเป็นจริงนี้มากจริงๆเลยล่ะผมคิดด้วยว่าถ้าผมประสบความสำเร็จละก็ผมจะเป็นสะพานให้กับอุตสาหกรรมนี้ได้มั้ยนะเพราะมีคนที่ทำเพลงเจ๋งๆในวงการใต้ดินอยู่มากมายเลยถ้าผมดังขึ้นผมก็อยากจะให้สิ่งแวดล้อมดีๆกับคนพวกนี้ผมอยากให้โลกรู้จักเพลงที่พวกพี่ๆเขาทำครับ

และในตอนนั้นเองผมก็ได้รู้เรื่องการออดิชั่นของ Big Hit ที่แทกูตอนนั้นรู้แค่ว่าเป็นค่ายที่คุณบังชีฮยอกที่เป็นนักแต่งเพลงเป็นคนสร้างขึ้นก็เลยไปดูวันต่อมาก็ได้รับแจ้งว่ารับผมครับผมมาได้ยินทีหลังผมนึกว่าพอเขาเห็นผมแล้วรับเลยตอนนั้นแรพไม่เอาไหนด้วยซ้ำครับ (หัวเราะ)

กลายเป็นเด็กเทรนและย้ายขึ้นมาอยู่โซล ต่างไปจากที่คิดตอนแรก…!?

ขึ้นมาอยู่โซลวันที่ 7 พ.ย. 2010 ตอนม.5 ตอนนี้ยังจำได้อยู่เลยครับ

ผมไม่ได้อยากจะแรพหรอกครับแต่อยากเป็นักแต่งเพลงก็เลยเข้าค่ายมาผมเลยคิดว่าไม่ต้องเต้นก็ได้และเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับคนที่แรพเก่งๆก็ได้แต่จริงๆแล้วมันคนละเรื่องเลยครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นแม้กระทั่งค่ายเองยังแพลนที่จะทำวงแรพเปอร์ทั้งวงมากกว่าไอดอลด้วยซ้ำแต่ก็เปลี่ยนครับตอนนั้นมีเมมเบอร์ 3 คนคือ Rap Monster, J-Hope และผมและมี Supreme Boi กับพี่ i11evn ที่ทำงานใต้ดินอยู่ตอนนี้กับพี่ Iron ที่ผ่านเข้าถึงรอบไฟนอลรายการ SMTM3 ถ้าเดบิวต์ทั้งอย่างนั้นแรพน่ะคงทำได้ดีแต่อาจจะเฟลก็ได้ครับ (หัวเราะ)

แรปเปอร์ & โปรดิวเซอร์ อนาคตที่ชูก้าตั้งเป้าไว้

การที่ผมได้มาเดินในเส้นทางสายดนตรีนั้นพี่ชายแท้ๆที่อายุมากกว่าผม 4 ปีมีบทบาทมากครับผมชอบฮิปฮอปจากอิทธิพลที่ผมได้รับมาตอนผมลองไปออดิชั่นนอกจากพี่ชายแล้วครอบครัวก็ค้านกันหมดพวกเขาไม่โอเคกับการทำงานด้านดนตรีอยู่แล้วกับญาติเองๆยังได้ยินเขาพูดเลยว่า “แกทำเพลงอะไรไปเรียนเถอะน่า” เลยครับผมก็เลยเอาเพลงที่ผมเขียนให้พี่ชายฟังคนเดียวตอนออดิชั่นผ่านพี่ชายก็เป็นคนแรกที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาดีมากเขาก็เลยเป็นเหมือนเพื่อนปกติผมเป็นคนไม่ดื่มเหล้าแต่ผมจะดื่มแต่กับพี่ชายครับแน่นอนว่าตอนนี้ทั้งครอบครัวซัพพอร์ตผมอยู่ครับญาติที่เคยบอกให้ผมไปเรียนมาขอลายเซ็นต์ผมด้วยครับ (หัวเราะ)

เดี๋ยวนี้เองผมก็ยังคิดเรื่องการทำงานในฐานะโปรดิวเซอร์อยู่นะครับผมไม่มีความอยากจะยืนเป็นเซ็นเตอร์ในวงเลยผมก็แค่อยากจะทำเพลงครับวงการบันเทิงผมก็ไม่ได้สนใจคนอื่นๆเขาอยากจะทำงานแสดงหรือไม่ก็อยากจะไปออกรายการวาไรตี้กันแต่ผมไม่อยากเลยครับ (หัวเราะ) แต่ผมคิดว่า BTS ควรจะเป็นที่ 1 ในเกาหลีกับญี่ปุ่นก่อนครับและตัวผมเองก็อยากจะเป็นที่หนึ่งทั้งในฐานะแรพเปอร์และโปรดิวเซอร์ครับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่แต่ก็คงต้องลองดูครับ

 

ที่มา | BTS Japan Official A.R.M.Y Magazine Vol.2
แปลจากญี่ปุ่นเป็นเกาหลีโดย @mondomizel1 | แปลจากเกาหลีเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

 

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!

Post a Comment