K-Pop

กระแส K-Pop ที่กำลังมีบทบาทจะก้าวข้ามวัฒนธรรมได้หรือไม่? พบกับ BTS และซีอีโอ ‘Hitman’ BANG จากสังกัด Big Hit ผู้กุมอเมริกา

เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา BTS ทำการแสดงคอนเสิร์ตรอบที่ 5 และเป็นรอบสุดท้ายของคอนเสิร์ตทัวร์อารีน่าในอเมริกาซึ่งขายบัตรหมดเกลี้ยง แก่แฟนๆ ที่ทำให้อัลบั้ม #WINGS อัลบั้มเต็ม ชุดที่ 2 ของพวกเขาเป็นผลงานชุดแรกของศิลปิน K-Pop ที่ สามารถกระเทาะ 40 อันดับสูงสุดบนชาร์ต Billboard 200 ได้ในปี 2016 ตั้งแต่เดบิวต์มาเมื่อปี 2013  เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์ก็ได้กลายเป็นบุคคลทรงพลังทางการตลาดสัญชาติเกาหลีผู้รุดหน้าตีตลาด Pop Culture ในอเมริกาอย่างต่อเนื่อง เพลงฮิปฮอปภาษาอังกฤษอย่าง #Change ที่ #RAPMONSTER เมมเบอร์ BTS ร่วมทำกับดาวเด่นจากอเมริกาอย่าง Wale ปล่อยออกมา 3 วันก่อนที่ BTS จะเปิดฉากทัวร์ในสหรัฐ

เพลง “Change” แตะต้องประเด็นอย่างสิทธิ์ในการออกเสียง และการข่มขู่บนโลกออนไลน์ ในขณะที่เพลงฮิตส่วนใหญ่ของ BTS เองก็กล่าวถึงประเด็นเรื่องปัญหาสุขภาพจิต #SUGA บอกกับพวกเราว่า “เด็กรุ่นใหม่อย่างเราๆ มีปัญหาทั้งในด้าน สังคมและการเมืองเหมือนกันทั่วโลกครับ” แม้เพลง K-Pop จะเลี่ยงประเด็นความขัดแย้งอยู่เป็นปกติ แต่ RAPMONSTER เห็นว่าการที่พวกเขายังพูดจาอย่างตรงไปตรงมานั้น “สำคัญ กับพวกเรา ยิ่งพวกเราได้รับเสียงตอบรับมากเท่าไหร่ คำพูดของ พวกเรายิ่งมีพลังมากขึ้นครับ”

อัลบั้มใหม่ของวง BTS กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการทำและอาจมีรอบการแสดงที่อเมริกาตามมาอีกภายหลังในปีนี้ คุณบังชีฮยอก CEO และโปรดิวเซอร์ผู้อำนวยการสร้างแห่ง สังกัด Big Hit Entertainment หรือรู้จักกันดีในชื่อ “Hitman” Bang บอกใบ้ “ฟีเจอร์สุดพิเศษ” ที่คิดค้นมาเพื่อผู้ฟังต่างชาติ ในขณะเดียวกันเขาก็เผยว่า BTS คงจะรุดหน้าตามฐานงานเดิม ต่อไป

คุณบังเผยกับ Billboard ผ่านบทสัมภาษณ์แรกกับสื่ออเมริกา นี้ว่า “ผมไม่ศรัทธาเรื่องการปล่อยเพลงเต็มๆ เป็นภาษาอังกฤษในตลาดเพลงอเมริกาเหมือนอย่างที่ศิลปิน K-Pop หลายๆ กลุ่มเขาทำ เราต้องโฟกัสในสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดในฐานะศิลปิน และโปรดิวเซอร์ K-Pop และอาจจะเสริมฟีเจอร์พิเศษบางอย่างที่ทำให้แฟนๆ ต่างชาติหรือแฟนเพลงอเมริกันรู้สึกเชื่อมโยง ไปด้วยได้ สำหรับผมแล้ว นี่แหละคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะนำ K-Pop เข้าสู่กระแสหลักของตลาดดนตรีอเมริกา ซึ่งโดยตามนี้แล้ว BTS ก็จะได้มีส่วนและทำการแสดงที่ไม่ต่างจากที่พวกเขาทำมาตลอดสามปีที่ผ่านมา พวกเราคอยปรับและพัฒนาการทำการแสดงระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตให้ได้ตามมาตรฐานที่คาดหวังไว้ระดับสากลหรือระดับโลก เพื่อที่ว่าใครๆ ก็สามารถสนุกไปกับเพลงและการแสดงของวง BTS ได้ไม่ว่าพวกเขาจะมีวัฒนธรรมหรือพื้นเพมาจากไหนก็ตาม”

คุณบังยังเสริมอย่างมั่นใจอีกว่าพวกเขา BTS “แอคทีฟและกระตือรือร้นมากกับการปล่อยเพลงใหม่ในรูปแบบการทำเพล ร่วมกันกับศิลปินต่างชาติเหมือนอย่างเพลง Change” และหากมองไปข้างหน้า ทั้งซีอีโอและวงเองมองความสำเร็จครั้งล่าสุดนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขายิ่งทำสิ่งที่ทำอยู่ให้สำเร็จยิ่งขึ้น ในอนาคต

“ผมทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจกับกระแสตอบรับของทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกา เรายังรู้สึกท่วมท้นและเหลือเชื่ออยู่บ้างเลยครับ ผมยิ่งรู้สึกต้องรับผิดชอบต่อการโปรดิวซ์เพลงและงานโปรดักชั่นที่ดีให้กับแฟนๆ ทั่วโลก และแน่นอนว่าผมยิ่งคิดหนักกว่าเดิมว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนๆ กระตือรือร้นและคลั่งใคล้ในเพลงของ BTS และตัววงเอง”

ในขณะเดียวกันเรายิ่งสัมผัสได้ถึงความทะเยอทะยานที่มีภายในวงตอนที่เมมเบอร์ V ขยิบตาบอกเราว่าพวกเขามี “เป้าหมายที่อลังการกว่านั้น” ประหนึ่งว่าคอนเสิร์ตทัวร์อารีน่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เขาและเพื่อนๆ ในวงตั้งใจจะทำให้ได้ทั่วโลก

อ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมที่ BTS ให้สัมภาษณ์ก่อนเปิดฉากทัวร์ได้ด้านล่างนี้ เราได้รับคำตอบจากทุกเมมเบอร์ผ่านล่าม ยกเว้นจาก RAPMONSTER

■ จากคอนเสิร์ตทัวร์อารีน่า 5 แห่ง คอนเสิร์ตครั้งนี้เป็นทัวร์ที่ค่อนข้างใหญ่ ผมคิดว่าเหตุผลที่ทำให้พวกคุณกำลังไปได้สวยในอเมริกาก็เพราะพวกคุณร้องเพลงเกี่ยวกับประเด็นที่เข้าถึงตัวบุคคล ทำไมเรื่องนี้มันถึงสำคัญขนาดที่คุณต้องเอามาพูดในเพลงของคุณ?

□ SUGA: เด็กรุ่นใหม่อย่างเราๆ มีปัญหาด้านสังคมและการเมืองเหมือนกันทั่วโลก ผมคิดว่าวัยรุ่นรู้สึกเหมือนกันในประเด็นเดียวกันนี้ครับ และพวกเรา BTS ก็อยากจะเป็นกำลังใจให้พวกเขา ผ่านเพลงของพวกเรา รวมทั้งพูดความรู้สึกของเราและประเด็นในสังคมนี้ด้วย

□ RAPMONSTER: ประเด็นพวกนี้ ก็เหมือนอย่างที่คุณพูดล่ะครับว่ามันสำคัญ ใช่มั้ยล่ะครับ? เรื่องพวกนี้มันควรมีใครสักคนเล่าออกมา ใครสักคนควรจะออกมาเล่าเรื่องพวกนี้ครับ และถ้าเกิดว่ามีใครที่ควรจะเล่าเรื่องพวกนี้ละก็ ผมรู้สึกว่าพวกเรานี่แหละที่ต้องออกมาเล่าครับ ซึ่งพวกเรารู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ ที่ พวกเราได้รับพลังและความสนใจจากแฟนๆ เวลาเราเปล่งเสียงมากกว่าเดิม ซึ่งมันสำคัญกับพวกเราจริงๆ ครับ ยิ่งได้รับเสียงตอบรับมากเท่าไหร่ คำพูดของพวกเรายิ่งมีพลังมากขึ้นครับ

■ เราไม่ได้ยินเรื่องประเด็นความเดียวดาย, สุขภาพจิต, การใช้ความรุนแรง เหล่านี้นักหรอกในดนตรี K-Pop หรือในวัฒนธรรมเกาหลีเองก็ตาม หรือแม้แต่ในดนตรีป๊อปอเมริกันก็เหมือนกัน คุณมีกังวลกันบ้างมั้ยว่าจะได้รับเสียงตอบรับ ในแง่ลบหรือในทางตรงกันข้าม?

□ SUGA: มีคนที่คิดในแง่ลบ และคนที่ตอบโต้ในเชิงลบต่อเพลงของ BTS มาตลอด แต่ผมกลับคิดว่าการทำเพลงด้วยประเด็นพวกนี้ มันสำคัญกว่าเพราะการให้กำลังใจผู้คนให้ต่อสู้กับประเด็นพวกนี้และหาทางออกให้กับประเด็นพวกนี้ผ่านเพลงของพวกเรานี่แหละที่สำคัญ แต่ยังไงผมก็จะพูดประเด็นพวกนี้ผ่านเพลงต่อไปอยู่แล้ว (หัวเราะ)

■ คุณคิดว่า K-Pop ควรจะเข้าถึงตัวบุคคลมากขึ้นมั้ยเพื่อที่จะเข้าถึงผู้ฟังในวงกว้างมากขึ้น? อยากเห็นอะไรเหล่านี้มากขึ้นมั้ยในอนาคต?

□ RAPMONSTER: เรายังต้องมีพวกเพลงปาร์ตี้ พวกเพลงรักสบายๆ ผมชอบฟังเพลงพวกนี้และดื่มด่ำความรู้สึกจากเพลงพวกนี้ เราทุกคนมีสัมภาระและเงาของตัวเองซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับเครื่องมือของแต่ละคนเอง แต่พวกเราก็คือพวกเรา ผมคิดว่าถ้าพวกเราพูดเรื่องพวกนี้และได้รับเสียงตอบรับกับความสนใจมากขึ้น อาจจะมีคนมากมายทั่วโลกที่ยอมรับพวกเรา ได้เริ่มต้นพูดถึงประเด็นพวกนี้ขึ้นมาก็ได้ และนั่นแหละครับคือการเปลี่ยนแปลง

■ ผมคิดว่าเพลง “Spring Day” เป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ในด้านดนตรีสำหรับพวกคุณเลย เพลงนี้ไม่เพียงทำอันดับบนชาร์ตได้ดี แต่ครั้งนี้พวกคุณยังได้แสดงการพัฒนาความคิดและการส่งข้อความที่ให้ความหวังด้วยมุมมองเรื่องการเยียวยาและการผันเปลี่ยนของฤดูกาลจากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิ เป็นการตัดสินใจทำเพลงที่พวกคุณรับรู้ดีหรือเปล่า?

□ RAPMONSTER: มันก็เหมือนกับที่คุณพูดล่ะครับว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้น พวกเรามักพูดถึงเรื่องเศร้า ความเสียใจ และความรู้สึกหลงทิศหลงทางของวัยรุ่น เวลาพวกเราแนะนำอัลบั้มใหม่ของพวกเราในหลายๆ รายการเพลง ผมจะพูดถึงคำว่า “เยียวยา” ตลอด อย่างที่คุณบอกว่ามันเกี่ยวกับการเยียวยาล้วนๆ เลย จากฤดูหนาวเข้าสู่ใบไม้ผลิ จากกลางฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ คุณเข้าใจถูกแล้วล่ะครับ

□ SUGA: นอกเหนือจากการเป็นในสิ่งที่พวกเราเป็นในฐานะ BTS แล้ว พวกเราอยากจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และพวกเราเองก็อยากจะพัฒนาขึ้นจริงๆ ในฐานะวงครับ พวกเราอยากจะแสดงให้เห็นถึงสีสันที่หลากหลายของพวกเรา แต่พวกเราก็ยังอยากจะปลอบประโลมและให้ความหวังคนอื่นด้วย

■ อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใครเลยก็คือเพลงโซโล่ในอัลบั้ม WING คุณก็ทำมิกซ์เทปกันมาแล้ว แต่คุณกลับแสดงอีกด้านที่ต่าง ออกไปของตัวคุณเองแทนที่จะปล่อยโซโล่เต็มรูปแบบหรือปล่อยยูนิต ทำไมโซโล่ถึงจำเป็นในอัลบั้มกัน?

□ JIN: เพลงโซโล่มันมีความสำคัญเพราะมันเป็นเรื่องราวส่วนตัว เฉพาะคน ซึ่งได้นำเสนอออกมาในแบบที่พวกเราถนัด พวกเราทุ่มเทกับแต่ละเพลงมาก เพราะอย่างนี้เพลงโซโล่ถึงสำคัญ กับพวกเราแต่ละคนมาก

□ RAPMONSTER: เวลาผมได้รับคำถามว่าทำไม K-Pop ถึงเป็นที่นิยมขนาดนี้ ผมจะบอกเสมอว่า K-Pop เป็นเหมือนการผสม ผสานที่ยิ่งใหญ่ระหว่างดนตรี วิดีโอ วิชวล การเต้น โซเชียลมีเดีย และคอนเทนท์ในชีวิตจริงครับ การทำเพลงโซโล่ในอัลบั้มนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเสี่ยง แต่มันเชื่อมโยงไปถึงคอนเซ็ปต์ครับ อย่างเวลาคุณดู MV เพลง I NEED U ทุกๆ คนมีเรื่องเศร้า และคาแรคเตอร์ของตัวเอง เพลงโซโล่มันเลยค่อนข้างเชื่อมโยงกับคาแรคเตอร์และบุคลิกของพวกเขา ทุกอย่างมันเชื่อมถึงกันหมดครับ มันเป็นการผสมผสาน เพราะอย่างนี้คนถึงสนใจ ในคอนเซ็ปต์ครับ

■ พูดถึงเพลงโซโล่ เพลง Change เพิ่งจะออกมาหมาดๆ นี้เอง    RAPMONSTER ครับ คุณกับ Wale พูดถึงประเด็นที่แตกต่างแต่คล้ายกันในขณะที่เกาหลีใต้และอเมริกากำลังมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจ พวกคุณมีโอกาสได้ถกกันถึงมุมมอง ที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นของพวกคุณมั้ยครับ?

□ RAPMONSTER: พวกเราไม่มีเวลาพูดคุยเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง แต่ผมดูข่าวเกี่ยวกับทรัมป์และอเมริกาตลอด ผมดูตลอดครับ ตอนเขาเริ่มมาชวนผมทำเพลง ผมก็แบบ “เราควรทำเพลงแบบ ไหนดี?” เราจะทำเพลงฮิปฮอปแบบทั่วๆ ไปก็ได้ แต่ผมอยากจะทำอะไรที่มันพิเศษกว่านั้นหน่อย เรามีเหตุการณ์ทางการเมือง ในเกาหลีซึ่งเด็กๆ นักเรียนโกรธเคืองกันมาก ผมเลยคิดว่าถ้าเราพูดออกมาว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็ การทำเพลงร่วมกันครั้งนี้ มันก็คงจะพิเศษจริงๆ ซึ่งที่ผมเดาไว้มันก็ถูก มันกลายเป็นอะไร ที่พิเศษขึ้นมาจริงๆ ครับ

■ พวกคุณเห็นหรือรู้สึกถึงอิทธิพลที่คุณมีต่อวงอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเพลงนี้มั้ย?

□ JUNGKOOK: ย้อนกลับไปปี 2013 ที่เราเดบิวต์ พวกเราได้รับอิทธิพลจากศิลปินรุ่นพี่ หลายปีผ่านมาเวลาพวกเราได้ดูวงรุ่นน้องพวกเรารู้เลยครับว่าพวกเขาพูดถึงพวกเรา พวกเขา คัฟเวอร์และเดินตามพวกเรา รู้สึกว่าพวกเขาจะให้สัมภาษณ์ด้วยว่าเรียนรู้จากพวกเรา มันสุดยอดสำหรับพวกเราจริงๆ ครับ การเป็นศิลปินรุ่นพี่นั้นพวกเราเองก็อยากจะสร้างอิทธิพลที่ดีและเป็นตัวอย่างที่ดียิ่งขึ้นให้กับวงอื่นๆ ครับ

■ คำถามสุดท้ายครับ ตอนนี้คุณมีความสุขมั้ย?

□ V: สำหรับตอนนี้ พวกเรามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันในฐานะวง ผมคิดว่าพวกเรามีความสุขเพราะพวกเราเดินไปบนทางเดียวกัน ในทิศทางเดียวกัน พวกเราเคยอยากได้รางวัลแดซังแต่พวกเราก็ได้รับมาแล้ว เป้าหมายของพวกเราเลยเป็นการทำเพลงที่ ยอดเยี่ยมและแชร์ให้กับแฟนๆ ของพวกเราครับ

□ RAPMONSTER: และการทัวร์สเตเดี้ยมรอบโลกด้วยครับ นี่แหละ คือเป้าหมายของพวกเราครับ

□ V: พวกเรามีเป้าหมายที่อลังการกว่าเดิมครับ

ที่มา | Billboard
แปลจากเกาหลีเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

DMCA.com Protection Status

ทาง CANDYCLOVER มีความยินดีหากผู้อ่านเล็งเห็นประโยชน์ของคอนเทนต์นี้ และต้องการนำไปประกอบเอกสารหรือสื่อทางการศึกษา เผยแพร่ต่อบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงนำไปผลิตของที่ระลึก เช่น Giveaway สำหรับแจกฟรี มิใช่การจัดจำหน่าย

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง กรุณาติดต่อทางอีเมลล์ bts.candyclover@gmail.com และรอการตอบกลับที่ระบุว่าอนุญาตแล้วเท่านั้น ยกเว้นกรณีการนำข้อมูลที่ “แปล เรียบเรียง หรือจัดทำโดย CANDYCLOVER” ไปรีโพสต์ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ รีโพสต์บนแฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด ที่มิใช่แพลตฟอร์มของ CANDYCLOVER พร้อมใส่เครดิตเองโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงนำไปเป็นคอนเทนต์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่เข้าข่ายแอบอ้างผลงาน หากพบเห็นจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

หากท่านชื่นชอบคอนเทนต์ที่ CANDYCLOVER นำเสนอ สามารถให้การสนับสนุนพวกเราได้ง่าย ๆ เพียง 1.) ไม่สนับสนุนแอคเคาต์ที่แอบอ้างข้อมูลที่แปลโดย CANDYCLOVER 2.) รีพอร์ตแอคเคาต์ดังกล่าวผ่านระบบของแพลตฟอร์มที่ท่านพบเห็นโพสต์ที่เข้าข่าย โดยเลือกหัวข้อ “ละเมิดลิขสิทธิ์” 3.) สนับสนุนค่ากาแฟทาง Ko-fi หรือ Patreon

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!

Post a Comment