AMAs

การแสดงของ BTS ที่งานประกาศรางวัล AMAs เกิดขึ้นแล้วหลังจากการผลักดันต่อเนื่องสู่ตลาดอเมริกา (บทความจาก Forbes)

จากการแสดงของพวกเขาทางโทรทัศน์ช่วงไพรม์ไทม์ในงานประกาศรางวัล American Music Awards (AMAs) เมื่อคืนที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นอเมริกา หรือ ตรงกับช่วงเช้าตามเวลาไทย) BTS ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากศิลปินจากกลุ่มวัฒนธรรมย่อยผู้เป็นที่ชื่นชอบ สู่วงบอยแบนด์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นเวลากว่าสองเดือนหลังจากการเป็นศิลปินเกาหลีที่ติดชาร์ตสูงสุดบนชาร์ตอัลบั้มของ Billboard อย่างชาร์ต Billboard 200 การแสดงเพลง DNA ของเจ็ดหนุ่มกลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ผู้คนตั้งตารอมากที่สุดของค่ำคืน ซึ่งออนแอร์เพียงครู่เดียวก่อนที่ Diana Ross จะขึ้นแสดงปิดฉากงานประกาศรางวัลลง 

ในขณะที่การแสดงของ BTS ที่งานประกาศรางวัล AMAs อาจเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สำหรับผู้ชมบางกลุ่ม แต่ศิลปินกลุ่มนี้ได้ค่อยๆ เข้าสู่ตลาดเพลงอเมริกามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์อันประกอบด้วยสมาชิก RM, JIN, SUGA, J-HOPE, JIMIN, V, และ JUNGKOK ได้รับความรักจากแฟนๆ นับล้านทั่วประเทศมากว่าหลายปี ไม่ว่าจะผ่านคอนเสิร์ตสุดใกล้ชิด, สไตล์เพลงฮิปฮอปที่คำนึงถึงสังคม หรือผ่านทางคอนเทนท์บนแอคเคาท์โซเชียลมีเดียของพวกเขาเอง พวกเขาเข้ามามีบทบาทในกระแสเพลงหลักของโลกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาหลังจากที่คว้ารางวัล Top Social Artist จากงาน Billboard Music Awards กลับบ้านไป ก้าวจากศิลปินอินเตอร์นอกกระแสผู้มีผู้ติดตามในท้องถิ่นที่แข็งแกร่งสู่การเป็นผู้ที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้เลยในอุตสาหกรรมเพลงป็อปอเมริกันในปัจจุบัน

เป็นเวลายาวนานสำหรับบอยแบนด์วงนี้ที่ผลักดันตัวเองสู่วงการอเมริกาในช่วงเวลาที่ความสนใจที่มีต่อเพลงเกาหลีโดยทั่วไปกำลังเติบโตขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีคอนเสิร์ตของศิลปิน K-Pop และ K-HipHop เกินโหลในอเมริกาในปีนี้ตามรายงานจาก CNN ผู้นนำแรงผลักดันนี้ก็คือ BTS ผู้จัดทัวร์คอนเสิร์ตอารีน่าที่ขายบัตรหมดเกลี้ยงกว่าหลายเมืองเมื่อต้นปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเวิลด์ทัวร์คอนเสิร์ต 2017 BTS Live Trilogy Episode III: The Wings Tour กว่า 40 รอบทั่วโลก

ด้วยการปราฎตัวผ่านเครือข่ายใหญ่อย่าง “Jimmy Kimmel Live!”, “The Ellen Degeneres Show” และ “The Late Late Show with James Corden” เห็นได้เลยว่าเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่ยุ่งสุดๆ สำหรับ BTS ในอเมริกา แต่นี่กลับไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาหันมาให้ความสนใจกับผู้ชมอเมริกันเลย

AMAs
BTS at AMAs / GettyImages

สำรวจเพลงอเมริกันในช่วงแรก

BTS ตัวย่อของชื่อภาษาเกาหลีว่า บังทันโซนยอนดัน อันมีความหมายว่า Bulletproof Boyscouts ผู้ออกสู่โลกกว้างในปี 2013 นำเสนอตัวพวกเขาเองด้วยเพลงป็อปสไตล์วัยรุ่นหัวรั้นที่มีกลิ่นอายของฮิปฮอป ในปีต่อมา พวกเขาพัฒนาตัวตนของตัวเองมากขึ้นด้วยการสืบเสาะไปยังรากฐานของมือหนึ่งวงการฮิปฮอปในอเมริกาผ่านรายการเรียลลิตี้โชว์ “American Hustle Life” ซึ่งนำเจ็ดหนุ่มมายังกรุงลอสแองเจลิสเพื่อเรียนรู้จาก Coolio และ Warren G

ความตั้งใจที่มีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจแก่นของแนวเพลงที่มาจากตัวพวกเขา ประกอบกับส่วนประกอบจากสมาชิกในวงที่ถูกใส่ลงไปในเพลงของพวกเขาซึ่งดึงดูดแฟนๆ แรกเริ่มของ BTS ได้สร้างฐานแฟนคลับที่เป็นที่รู้จักในชื่อ ARMY ขึ้นอย่างรวดเร็ว “สิ่งที่ทำให้ BTS ดึงดูดแฟนคลับต่างชาติคือการมีความเป็นของแท้ในการแสดงของตัวพวก” ศาสตราจารย์คิมซุกยอง ผู้เชี่ยวชาญวงการ K-Pop และศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) กล่าว “เนื้อเพลงของพวกเขาใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากๆ สำหรับคนที่ทนทุกข์อยู่กับแรงกดดันที่มาจากทุกหัวระแหง, ความไม่แน่นอนในอนาคต และอาชีพรายได้ต่ำ BTS มีด้านมืดในการนำเสนอเรื่องพวกนี้ออกมา ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซื่อตรงมากกว่าการพยายามที่จะบิดเบือนเรื่องพวกนี้และพูดถึงความรักและความสัมพันธ์แทน ด้วยข้อจำกัดในอุตสาหกรรม K-Pop พวกเขา BTS ได้ก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไปแล้วในฐานะศิลปินกลุ่มที่น่าเชื่อถือ”

ขยี้การแข่งขันทางโซเชียลมีเดีย

BTS ทำให้ตัวพวกเขาเป็นที่รักของแฟนๆ ทั่วโลกได้ด้วยการอัพเดทผ่านแอคเคาท์ Twitter และคลิปวิดีโอมากมายบน YouTube บ่อยครั้งซึ่งไม่จำกัดด้วยพรมแดนภูมิประเทศ แทบไม่มีสักวันที่แฮชแท็ครอบกิจกรรมของพวกเขาจะไม่ติดเทรนด์ทั่วโลก

BTS และ ARMY แฟนคลับของพวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นด้วยการเข้าถึงทางโซเชียลนี้ ด้วยแพชชั่นและความทุ่มเทจำนวนมากโขที่เห็นผลได้จากการที่ฐานแฟนคลับสนับสนุนทุกความอุตสาหะที่ BTS ทำได้สำเร็จในวิธีที่ไม่อาจหาที่ไหนเหมือน ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มใหม่หรือการจัดคอนเสิร์ต หรือกระทั่งการเฉือนชนะ Justin Bieber ในรางวัล Top Social Artist จากงาน Billboard Music Awards พวกเขา ARMY นำโดยแฟนคลับชาวอเมริกัน จัดโปรเจคโปรโมทและกิจกรรมออฟไลน์เพื่อช่วยขับเคลื่อน BTS ไปอยู่จุดที่สูงขึ้น พออัลบั้ม “Wings” ออกเมื่อปีที่ผ่านมา แฟนคลับในอเมริกาก็จัดโปรเจคที่นำอัลบั้มดังกล่างไปสู่การเป็นอัลบั้ม K-Pop ที่ทำอันดับบนชาร์ตได้สูงสุด และทำยอดขายได้มากที่สุดในปี 2016 ได้สำเร็จ ซึ่งต่อมาถูกชิงตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนด้วยอัลบั้ม Love Yourself: Her ของพวกเขา BTS นี่เอง

ทัวร์คอนเสิร์ตหลากหลายที่

BTS เริ่มมุ่งหน้าสู่ฝั่งอเมริกาเมื่อปี 2014 เพื่อทุ่มเทให้กับการทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งมีศิลปิน K-Pop ไม่กี่วงเท่านั้นที่เคยทำเช่นนี้ งานแรกของพวกเขาคือคอนเสิร์ตพิสูจน์ฝีมือซึ่งจัดขึ้นในฝั่งตะวันตกของเมืองฮอลลีวู้ด พ่วงกับรายการ “American Hustle Life” ในปี 2014 ในปีต่อมาพวกเขานำทัวร์คอนเสิร์ต The Red Bullet มาสู่ 4 เมืองในอเมริกาในเดือนกรกฎาคม พร้อมกับการแสดงอีกมากมายที่งาน KCON เพื่อรับประกันว่าพอพวกเขากลับมาอีกครั้งในเดือนมีนาคมกับทัวร์คอนเสิร์ตอัลบั้ม Wings จะขายบัตรคอนเสิร์ต 60,000 ใบในสามอารีน่าทั่วประเทศได้หมดเกลี้ยง พออัลบั้ม Love Yourself: Her ออกในเดือนกันยายน แฟนคลับ ARMY ของพวกเขาก็ได้ปะทุจำนวนขึ้นอย่างมโหฬาร ทัวร์คอนเสิร์ตไหนๆ ที่จะขึ้นต่อไปจะเป็นทัวร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาอย่างแน่นอน

ร่วมทำเพลงกับฝั่งอเมริกา 

ระหว่างนั้นมาแม้ BTS จะเคยมุ่งหน้าสู่ฝั่งอเมริกามาก่อน แต่ต้นสังกัด Big Hit Entertainment ของพวกเขาไม่เคยเสาะหาพาร์ทเนอร์ท้องถิ่นเพื่อช่วยให้วงเติบโตมากยิ่งขึ้นในอเมริกามาก่อนจนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา “Big Hit ติดต่อบริษัท Gramophone Media ของผมมา” CEO Eshy Gazit กล่าว “ผมตกหลุมรักวงนี้ทันทีและตัดสินใจพา BTS บุกตลาดอเมริกาด้วยตัวเอง ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ครับ” ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็เข้าร่วมงาน Billboard Music Awards และชนะรางวัลจากงาน, ทุบสติของศิลปิน K-Pop บนชาร์ต Billboard และกลายเป็นศิลปิน K-Pop กลุ่มแรกที่แสดงในงานประกาศรางวัลใหญ่ของอเมริกาในสัปดาห์นี้ พวกเขายังได้เริ่มทำเพลงกับเหล่าศิลปินอเมริกันระหว่างช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีเพียงแค่ RM ที่ร่วมทำเพลงกับ Wale แต่ BTS ยังซุ่มทำเพลง “Best Of Me” ของอัลบั้ม Love Yourself: Her กับ Andrew Taggart จาก The Chainsmokers อีกด้วย

ด้วยการเดบิวต์การแสดงออกอากาศผ่านโทรทัศน์ฝั่งอเมริกาที่งาน American Music Awards ในค่ำคืนนี้ BTS ในตอนนี้ได้กลายเป็นศิลปิน K-Pop ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ที่ได้สร้างกระแสในตลาดเพลงอเมริกาไปแล้ว และพวกเขาจะเดินหน้าคว้าความสำเร็จต่อเนื่องต่อไป วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้จะได้พบกับการปล่อยเพลง “Mic Drop” เวอร์ชั่น Remix อันเป็นการร่วมงานเพลงกับโปรดิวเซอร์สายอิเล็คโทรนิกแดนซ์อย่าง Steve Aoki และนักร้องเจ้าของเพลง “Panda” อย่าง Desiigner

ที่มา | Forbes
แปลจากอังกฤษเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

DMCA.com Protection Status

ทาง CANDYCLOVER มีความยินดีหากผู้อ่านเล็งเห็นประโยชน์ของคอนเทนต์นี้ และต้องการนำไปประกอบเอกสารหรือสื่อทางการศึกษา เผยแพร่ต่อบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงนำไปผลิตของที่ระลึก เช่น Giveaway สำหรับแจกฟรี มิใช่การจัดจำหน่าย

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง กรุณาติดต่อทางอีเมลล์ bts.candyclover@gmail.com และรอการตอบกลับที่ระบุว่าอนุญาตแล้วเท่านั้น ยกเว้นกรณีการนำข้อมูลที่ “แปล เรียบเรียง หรือจัดทำโดย CANDYCLOVER” ไปรีโพสต์ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ รีโพสต์บนแฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด ที่มิใช่แพลตฟอร์มของ CANDYCLOVER พร้อมใส่เครดิตเองโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงนำไปเป็นคอนเทนต์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่เข้าข่ายแอบอ้างผลงาน หากพบเห็นจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

หากท่านชื่นชอบคอนเทนต์ที่ CANDYCLOVER นำเสนอ สามารถให้การสนับสนุนพวกเราได้ง่าย ๆ เพียง 1.) ไม่สนับสนุนแอคเคาต์ที่แอบอ้างข้อมูลที่แปลโดย CANDYCLOVER 2.) รีพอร์ตแอคเคาต์ดังกล่าวผ่านระบบของแพลตฟอร์มที่ท่านพบเห็นโพสต์ที่เข้าข่าย โดยเลือกหัวข้อ “ละเมิดลิขสิทธิ์” 3.) สนับสนุนค่ากาแฟทาง Ko-fi หรือ Patreon

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!

Post a Comment