ตัวตนของ RAPMONSTER

ตัวตนของ RAP MONSTER : “วิตกจริต, เคว้งคว้าง, สับสน, อ้างว้าง นี่แหละตัวผมเอง” 

(บทความเขียนเมื่อ 27 มี.ค. 2015 แปลครั้งแรก 2 เม.ย. 2015 เกลาคำแปลใหม่ทั้งหมด 21 พ.ค. 2022)

“ถ้าผมพูดว่าผมต่างจากพี่ Zico หรือ Bobby ก็เหมือนผมพูดว่าผมวิตกจริต”

ลีดเดอร์แห่ง BTS ผู้ใช้เวลากว่า 2 ปี “อย่างอ้างว้าง” หลังเดบิวต์ก็โดนวิจารณ์จาก B-Free แรปเปอร์ที่ทำงานวงการเพลงใต้ดิน ในรายการ Mnet [4 Things Show] เขาได้รับคำถามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ระหว่างแรปเปอร์ที่แจ้งเกิดจากใต้ดินกับไอดอล สงครามการ Diss กับ Bobby จากวง IKON เมื่อปลายปี 2015 นั้น เป็นจุดไคลแมกซ์ของการเดินทางที่ระคนทั้งด้วยความสำเร็จและความวิตกกังวลอย่างสับสนอลหม่าน “ผมเดือดสุด ๆ เลยน่ะสิครับว่าทำไมต้องมาด่าผม แต่หลังจากนั้นผมก็เข้าใจครับ ผมบอกไปว่าคนพวกนั้นเขาทำแบบนั้นได้ แล้วผมก็เลยคิดว่าผมให้ความสำคัญกับตัวตนภายในของผมเองดีกว่า” แล้วเพลงแรกจากมิกซ์เทปที่ถูกปล่อยออกมาก็คือเพลง ‘각성’ (ตื่นรู้) “จะไอดอลหรือศิลปิน จริง ๆ แล้วมันไม่เคยสำคัญ ฉันที่พวกแกเห็นมันก็มีแต่ฉันทั้งนั้น ยึดติดกับชื่อและผูกมัดจังนะกับคำจำกัดความของมัน”

เขารู้จักการแรปผ่าน Nas (แรปเปอร์), ศึกษา Hip Hop ควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษจากการดูการสัมภาษณ์และสารคดีของเหล่าแรปเปอร์ การแรปของ RM ที่มีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ในโทนทุ้มต่ำ อีกทั้งทักษะภาษาอังกฤษที่กลายเป็นที่กล่าวขาน สมกับที่ได้รับเชิญไปออกรายการ Problematic Man ทางช่อง tvN ในฐานะเซเลปชายหัวดี ก็ช่ำชองอยู่แล้วในตอนนั้น ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ตกระหว่างทำเพลงกับเรียนหนังสือ และคิดว่าถ้าได้ทำเพลงอย่างที่ใจอยาก ก็จะหายวิตกกังวล ทว่า ช่วงเวลาที่รอคอยการเดบิวต์นั้นกลับยาวนาน ก็เหมือนกับในเนื้อเพลง ‘각성’ ที่ใครบางคนที่เขารู้จักสมัยอยู่วงการใต้ดินพูดเอาไว้ว่า “ถ้าเข้าค่ายเพลงก็จะกลายเป็นไอ้โง่” ลีดเดอร์แห่งบังทันโซนยอนดัน มีชื่อว่าปีศาจแห่งการแรป แต่เขาก็เป็นเพียงคนวัย 20 ต้น ๆ ที่วิตกจริตกับคำพูดของอื่นที่พรั่งพรูมายังเขา “มีคำที่พูดขึ้นมาเล่น ๆ อยู่ว่า คนที่พูดว่า ‘I don’t give a fuck’ (กูไม่แคร์) อันที่จริงแล้วเป็นพวก ‘I do give a fuck’ (กูแคร์) เสียยิ่งกว่าใคร คนที่ไม่สนใจคนอื่นคือคนที่สนใจคนอื่นมากที่สุดครับ ซึ่งผมก็เป็นแบบนั้น”

ในภาพยนต์เรื่อง Amazing Spider Man นั้นมีฉากนึงที่บ่งบอกว่า ท้ายที่สุดวรรณกรรมเรื่องนี้คือการตั้งคำถามว่า “ฉันเป็นใครกันแน่?” ถึงซีรี่ส์ภาพยนตร์เรื่องนี้จะจบไปทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ แต่คำถามที่ว่า “ฉันเป็นใครกันแน่?” นั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์อยู่เสมอ กระทั่งการทำมิกซ์เทปโดยมีพื้นฐานเป็นซาวด์ของนักดนตรีที่ RAP MONSTER ชื่นชอบ อีกทั้งปกอัลบั้มมิกซ์เทปที่แต่งแต้มภาพเป็นสีขาวดำ ก็เพื่อตอบคำถามที่ว่า ฉันเป็นใครกันแน่? “ผมล้มเลิกพวกกลยุทธ์ทั้งหลาย แล้วคิดเพียงแค่ว่าผมอยากจะทำอะไร” ระหว่าง ‘I don’t give a fuck’ กับ ‘I do give a fuck’ ดังนั้นเมื่อเขาได้ฟังเพลง ‘Just Do You’ ของ India Arie คำว่า ‘Do You’ จึงอยู่ในใจเขามาเรื่อย ๆ จนได้ทำเพลง ‘Do You’ ขึ้นมา ในเพลง ‘각성’ ที่ว่า “ถึงเวลาที่ฉันตกต่ำ จะจับมือฉันไว้ไหม” จึงได้บทสรุปออกมาเป็นเพลง ‘Do You’ ที่ว่า “เพราะฉะนั้น แกก็ทำในสิ่งที่แกทำเสียเถอะ” การทำมิกซ์เทปที่มีมากกว่า 10 เพลงท่ามกลางตารางงานต่อเนื่องที่ไม่มีวันหยุดพักนั้น จะเรียกว่าหัวรั้นก็ไม่ผิดนัก แต่งานเพลงที่เริ่มขึ้นมาจากความวิตกจริตนั้น เพิ่มความซื่อสัตย์ในการทำเพลงไปทีละเพลงเพื่อค้นหาความหวังที่ติดอยู่ตรงก้นบึ้งของหัวใจที่วิตกกังวลให้เจอ “มิกซ์เทปเป็นเสมือนป้อมปราการสุดท้ายครับ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ก็ไม่มีทางเข้ามาภายในได้ ผมมีแต่กังวลอยู่ตลอดนอกกรอบนั้น ก็เพราะผมทำเพลงขึ้นจากมาตรฐานของตัวเองที่กระหายเพลงดี ๆ หลังจากฟังเพลงดี ๆ แต่มันก็ดีนี่? เพราะฉะนั้นผมว่ามันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

ระหว่างทำมิกซ์เทป เขาได้มาออกรายการวาไรตี้ Problematic Man อย่างสบาย ๆ โดยที่ไม่ต้องสอดส่ายสายตา เขาได้รับเชิญไปร่วมฟีตเจอร์ริ่งในอัลบั้มใหม่ของ Tiger JK ที่เขานับถือ และในเพลง ‘농담’ ที่ทำเป็นลำดับสุดท้าย ก็ได้ ตอบโต้พวกที่เรียกแฟน ๆ ของเขาว่า ‘ติ่ง’ อีกด้วยว่า “คะแนนโหวตของติ่งฮิปฮอปผู้ภักดีเพียงหยิบมือในรายการวาไรตี้โชว์ที่ฮงแด” “ในวงการฮิปฮอปเองก็มีแฟน ๆ ผู้หญิงเยอะแยะที่ซื้ออัลบั้มเพื่อไปดูการแสดง ผมก็อยากจะพูดอีกด้านนึงเกี่ยวกับการโดนประณามเพียงเพราะเป็นไอดอล ถ้ามองตามสภาพความเป็นจริงของตลาด พวกแกก็ไม่ได้ต่างอะไรเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่มีพวกเขา พวกแกก็ไม่มีทางอยู่ได้” พวกที่ไม่เคยฟังเพลงของ BTS ประณามพวกเขาเพราะพวกเขาใส่แต่กางเกงยีนส์รัดรูปกับแต่งหน้าแต่งตาแบบสโมคกี้

ณ ตอนนั้น RAP MONSTER ไม่สามารถจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ และรู้สึก “น้อยเนื้อต่ำใจ” หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองผ่านการทำมิกซ์เทปแล้ว เขาจึงสามารถสวนกลับความเห็นทั้งหมดนั้นด้วยเพลง ‘농담’ ได้ เขายอมรับสภาพปัจจุบันของตัวตนผ่านเพลง ‘각성’ อีกทั้งยังค้นหาแก่นแท้ของตัวตนไปจนถึงที่สุดอย่างไม่สั่นคลอนท่ามกลางความวิตกกังวล ดังเช่นเพลง ‘I Believe’ เขาทดลองเป็นเรื่องราวในเพลง ‘목소리’ ด้วยการพึ่งเปียโนเพียงอย่างเดียว และหลังจากสื่อสารความรู้สึกที่ร้อนรุ่มและสับสนเกี่ยวกับตัวเองผ่าน “เพลงที่ทำออกมาอย่างพิถีพิถันและเยือกเย็น” เขาถึงจะทำเพลง ‘농담’ ออกมาได้อย่างไม่มีความกดดันใด ๆ เขาเพียงพูดสิ่งต่าง ๆ ที่อยากพูดออกมาตามที่ใจต้องการโดยไม่ใส่ใจในองค์ประกอบ “มันคือความเคารพตัวเองครับ” จากเพลง ‘각성’ จวบจน ‘농담’ นั่นคือสิ่งที่ไอดอลสตาร์คนหนึ่งได้มา ระหว่างแบ่งเวลาทำมิกซ์เทปที่ไม่ได้ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ

ความเคารพตัวเอง — สิ่งที่ไอดอลสตาร์คนหนึ่งได้มา ระหว่างแบ่งเวลาทำมิกซ์เทปที่ไม่ได้ปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการ

RAP MONSTER พูดถึง Drake อย่างเบิกบานว่าเป็น “ศิลปินที่ชอบที่สุดอันดับ 2” แม้อัลบั้มใหม่ของ Drake จะ “ทะลายเกราะไม่ได้” แต่ RAP MONSTER ก็ยังชื่นชอบอัลบั้มของเขา “มันทำให้ผมมีความหวังว่าผมก็ร้องได้แม้เพลงจะร้องเพลงไม่เก่ง ฮ่า ๆ ตอนฟังครั้งแรกผมรู้สึกว่าเพลงแนวนี้มีทุกอย่างเลย เขาแรปได้ดี แต่ผมก็ชอบเขาในฐานะนักดนตรีด้วย ดนตรีก็เหมือนกับศิลปะที่ต้องคลี่คลายแต่ละอารมณ์ ผมเองก็อยากทำเพลงแบบนั้นบ้างเหมือนกันครับ”

ถึงแม้เขาให้ความสำคัญกับการแรปที่ดีสมัยอยู่วงการใต้ดิน แต่พอมาอยู่กับ BTS เขาก็ได้ไตร่ตรองดนตรีในเพลงแต่ละเพลง และนึกภาพเพลงที่พรรณนาตัวตนของเขาระหว่างแต่งท่อนแรป การที่สามารถแต่งองค์ประกอบเร้าใจที่มีบทนำ บทขยายความ บทพลิกผัน และบทสรุปร้อยเรียง ท่ามกลางเพลงต่าง ๆ ในมิกซ์เทปที่เต็มไปด้วยการแรปนั้นคือ ผลลัพธ์ที่สุกงอมจากการแต่งเพลงสมัยนิยมระหว่างทำงานเป็นศิลปินไอดอล เขาวิตกกังวลเพราะสิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ต้องทำ อีกทั้งยังกังวลต่อสายต่อของคนอื่น แทนที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ความวิตกกังวลและบาดแผลทำให้เขาหยุดกลัดกลุ้มไม่ได้ ทว่า น่าตลกดีที่บางทีความกลัดกลุ้มนั้นก็ทำให้เขาก้าวกระโดดอย่างเหนือความคาดหมาย สมกับที่ลีดเดอร์จากวงไอดอลที่เคยสับสนว่าตัวเองเป็นใครเมื่อ 2 ปีก่อน ประกาศกร้าวออกมาได้ว่า ‘ทำเรื่องของตัวเองเสียเถอะ (Do You)’

“วิตกจริต, เคว้งคว้าง, สับสน, อ้างว้าง นี่แหละตัวผมเอง ต่อให้วงประสบความสำเร็จและตัวผมได้รับการยอมรับเมื่อออกผลงานเดี่ยว การร่อนเร่สู่หนทางอื่นก็เริ่มต้นขึ้นอยู่ดี แล้วมันจะทำไมล่ะครับ? ก็ผมยอมรับแล้วนี่นา และผมก็จะแต่งเพลงต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่เชื่อมั่นในตัวเอง ต่อให้มีความวิตกกังวลก็ตาม”

ที่มา | IZE
แปลจากเกาหลีเป็นไทยโดย CANDYCLOVER

DMCA.com Protection Status

ทาง CANDYCLOVER มีความยินดีหากผู้อ่านเล็งเห็นประโยชน์ของคอนเทนต์นี้ และต้องการนำไปประกอบเอกสารหรือสื่อทางการศึกษา เผยแพร่ต่อบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงนำไปผลิตของที่ระลึก เช่น Giveaway สำหรับแจกฟรี มิใช่การจัดจำหน่าย

หากต้องการนำข้อมูลไปใช้อ้างอิง กรุณาติดต่อทางอีเมลล์ bts.candyclover@gmail.com และรอการตอบกลับที่ระบุว่าอนุญาตแล้วเท่านั้น ยกเว้นกรณีการนำข้อมูลที่ “แปล เรียบเรียง หรือจัดทำโดย CANDYCLOVER” ไปรีโพสต์ ทำซ้ำ ดัดแปลง แก้ไข นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ รีโพสต์บนแฟนเพจ เว็บไซต์ หรือเว็บบอร์ด ที่มิใช่แพลตฟอร์มของ CANDYCLOVER พร้อมใส่เครดิตเองโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงนำไปเป็นคอนเทนต์ทางสื่อโทรทัศน์ หรือกระทำการใด ๆ ก็ตามที่เข้าข่ายแอบอ้างผลงาน หากพบเห็นจะดำเนินคดีทางกฎหมายให้ถึงที่สุด

หากท่านชื่นชอบคอนเทนต์ที่ CANDYCLOVER นำเสนอ สามารถให้การสนับสนุนพวกเราได้ง่าย ๆ เพียง 1.) ไม่สนับสนุนแอคเคาต์ที่แอบอ้างข้อมูลที่แปลโดย CANDYCLOVER 2.) รีพอร์ตแอคเคาต์ดังกล่าวผ่านระบบของแพลตฟอร์มที่ท่านพบเห็นโพสต์ที่เข้าข่าย โดยเลือกหัวข้อ “ละเมิดลิขสิทธิ์” 3.) สนับสนุนค่ากาแฟทาง Ko-fi หรือ Patreon

About the Author /

bts.candyclover@gmail.com

I go by the name Candy, a co-founder, admin, designer, translator, writer of and for CANDYCLOVER. I'm a graphic/UI designer and a self-taught Korean translator who's passionate about telling success stories of BTS in the form of mixed media from graphic to web-based experiences. Now, I'm also pursuing my career as a professional Korean translator. My recent book-length translation projects are: I AM BTS (TH Edition), BTS The Review (TH Edition) and more to come!

Post a Comment